‘เอลเซด ฮายไซจ์’ จากความรักของพ่อสู่ยูโร 2016

ความสำเร็จของนักฟุตบอลคนหนึ่ง ปัจจัยหลักคงหนีไม่พ้นพรสวรรค์และความเก่งกาจของตัวเอง แต่ปัจจัยรองลงมา ย่อมแตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมและสิ่งที่แต่ละคนพบเจอ แต่สำหรับ เอลเซด ฮายไซจ์ แบ๊กขวาทีมชาติ แอลเบเนีย คำสัญญาของพ่อทำให้เขาได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในการลุยยูโรหนนี้

ฮายไซจ์ถือเป็นนักเตะคนหนึ่งที่ได้รับจับตามองจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น บาเยิร์น มิวนิก, บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก้ มาดริด, เชลซี และในวัย 22 ปีตอนนี้เขาอยู่กับนาโปลี ทีมระดับท็อปของกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี

ภาพจาก www.uefa.com
ภาพจาก www.uefa.com

แบ๊กขวาแอลเบเนียรายนี้เติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่ยากลำบาก ทำให้ กซิม พ่อของเขาต้องเสี่ยงนั่งเรือข้ามฝั่งทะเลเอเดรียติกออกจากบ้านเกิด เพื่อไปหางานทำที่อิตาลีในฐานะแรงงานผิดกฎหมาย และให้แม่เป็นผู้ดูแลฮายไซจ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากสำหรับชาวแอลเบเนียนในช่วงทศวรรษที่ 90

กซิมทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงดูครอบครัวให้สบายที่สุด ขณะที่ฮายไซจ์ก็เริ่มฉายแววการเป็นนักเตะคุณภาพแล้วในช่วงนั้น การทำงานหนักของผู้เป็นพ่อในวันนั้นไม่ใช่แค่ฝันให้ครอบครัวหลุดพ้นจากความลำบาก แต่ทำเพื่อให้ชีวิตของลูกชายที่มีฝันเป็นนักฟุตบอลอาชีพเป็นจริงในสักวันหนึ่ง

Advertisement

ย้อนไปเมื่อปี 2004 กซิมทำงานเป็นแรงงานก่อสร้างให้กับผู้รับเหมาบ้านของ มาร์โก้ ปิซซิโอลี่ เอเย่นต์นักเตะชื่อดังในอิตาลีที่ดูแลนักเตะระดับโลกหลายคนในขณะนั้น และเมื่อกซิมได้เจอกับปิซซิโอลี่สิ่งที่เขาบอกกับเอเย่นต์รายนี้ คือ “ลูกผมเป็นนักฟุตบอล หาทีมให้เขาเล่นหน่อยได้มั้ย”

ปิซซิโอลี่ตอบแค่ว่า “ลูกคุณยังเด็กเกินไป เอาไว้อีก 4-5 ปี เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่นะ”

คำตอบของเอเย่นต์ฟีฟ่าไม่ได้ทำให้กซิมเสียใจแม้แต่น้อย เพราะวันนั้นลูกชายของเขายังอายุแค่ 10 ขวบ และเขาเองก็ยังติดต่อกับปิซซิโอลี่อยู่เรื่อยๆ

Advertisement

ในขณะที่พ่อกำลังไขว่คว้าฝันให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ฮายไซจ์ก็พัฒนาตัวเองอยู่กับ ชโคเดอร์ ทีมฟุตบอลสมัครเล่นในบ้านเกิด แต่กลับถูกเมินจาก วลาซเนีย อคาเดมีชื่อดังของแอลเบเนีย อย่างไรก็ตาม เพชรไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ย่อมเป็นเพชร ฮายไซจ์มีฝีเท้าโดดเด่นมากในระดับเยาวชนของท้องถิ่น คุมแผงหลังได้อย่างแข็งแกร่ง ยืนได้ทุกตำแหน่งในแนวรับ จนมีชื่อเสียงอย่างมากในฟุตบอลระดับเยาวชนในประเทศ

เมื่อเอลเซด ฮายไซจ์ หรือ “เอลซี่” อายุครบ 14 ปี กซิมจึงกลับไปทวงสัญญากับปิซซิโอลี่อีกครั้ง และเอเย่นต์ก็ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ สโมสรแรกที่เอลซี่ได้ไปทดสอบฝีเท้าในอิตาลี คือ ฟิออเรนติน่า

สต๊าฟโค้ชของฟิออเรนติน่าพอใจฝีเท้าของกองหลังเยาวชนแอลเบเนียนอย่างมาก แต่ด้วยความที่เขาไม่ใช่ชาวอิตาเลียน การเซ็นสัญญานักเตะเยาวชนต่างชาติสักคนที่ประเทศบ้านเกิดไม่ได้อยู่ในประชาคมยุโรป(อียู) มาร่วมทีมถือเป็นเรื่องยุ่งยากไม่น้อย ทำให้ฮายไซจ์ต้องระเห็จไปทดสอบฝีเท้ากับ เอ็มโปลี ทีมร่วมเมืองฟลอเรนซ์ของฟิออเรนติน่านั่นเอง

ภาพจาก www.uefa.com
ภาพจาก www.uefa.com

เอ็มโปลีกลายเป็นอคาเดมีใหม่ของฮายไซจ์ เขาเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดของเอ็มโปลี ในปี 2009 และได้ลงเล่นในทีมยู 16 ของสโมสรอย่างสม่ำเสมอ และในวัยเพียง 17 ปี เอลซี่น้อยของพ่อก็ได้ประเดิมลงเล่นในชุดใหญ่ของเอ็มโปลี ในฟุตบอลถ้วยโคปป้า อิตาเลีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2011 และวันนั้นต้นสังกัดของเขา พบกับฟิออเรนติน่า ทีมที่ปฏิเสธแบ๊กขวาอนาคตไกลในการมาอิตาลีช่วงแรกๆ หลังจากนั้นไม่นาน ฮายไซจ์ถูกเรียกติดทีมชาติแอลเบเนียครั้งแรก ในปีถัดมาด้วยอายุเพียง 18 ปี

ฮายไซจ์ ย้ายมาร่วมทัพ นาโปลี ทีมชั้นนำของกัลโช่ เซเรียอา ตั้งแต่ปี 2015 และเป็นกำลังสำคัญในการพาแอลเบเนียสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลยูโรได้เป็นครั้งแรก

ภาพจาก www.gazzettaworld.com
ภาพจาก www.gazzettaworld.com

ความสำเร็จของลูกในฐานะนักฟุตบอลอนาคตไกลอาจจะเป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับพ่อที่ทุ่มเททุกอย่างให้ลูกอย่างกซิมแล้ว แต่เอลซี่น้อยของพ่อไม่คิดแบบนั้น เขาเปิดบาร์ในเมืองฟลอเรนซ์ ในชื่อ “เอลซี่บาร์” และให้พ่อเป็นผู้จัดการบาร์ด้วยตัวเอง

ภาพจาก www.empolichannel.it
ภาพจาก www.empolichannel.it

เอลซี่บาร์กลายเป็นศูนย์รวมของชาวแอลเบเนียนในฟลอเรนซ์และจากทุกเมืองทั่วอิตาลี หรือแม้แต่คอบอลสักคนที่อยากจะมาเจอนักเตะชื่อดังอย่างเอลเซด ฮายไซจ์ ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีเสมอ

“ช่วงเวลาเหนื่อยยากของพ่อได้จบลงแล้ว เวลาที่เหลือหลังจากนี้ผมจะตอบแทนความเสียสละทุกอย่างให้พ่อเอง”


นี่คือคำสัญญาครั้งใหม่ของพ่อลูกฮายไซจ์ ที่แค่สลับบทบาทของผู้รับและผู้ให้เท่านั้นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image