ถ้าพูดถึง ไอซ์แลนด์ หลายคนคงนึกประเทศที่มีธรรมชาติสวยงาม บ่อน้ำพุร้อนที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ ภูเขาไฟ และสถานที่ที่ดูแสงเหนือที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก น้อยคนจะนึกถึงไอซ์แลนด์ในมุมของฟุตบอล โดยมักจะมีคำถามว่าทีมนี้มีความเป็นมาอย่างไรในโลกของฟุตบอล และทำไมถึงเป็น 1 ใน 24 ทีมของยูโร 2016 ได้
ดินแดนแห่งแสงเหนือสร้างประวัติศาสตร์เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ได้เป็นครั้งแรก คือ ยูโร 2016 ด้วยผลงานของกุนซือคนคู่ ลาร์ส ลาเกอร์บัค ชาวสวีดิช และ ไฮเมอร์ ฮอลล์กริมส์สัน โค้ชชาวไอซ์แลนด์จับมือร่วมงานกัน ซึ่งถือว่าหลายปีหลังประเทศนี้พัฒนาในเรื่องของฟุตบอลจนพาตัวพุ่งขึ้นมาเป็นทีมที่คู่แข่งประมาทไม่ได้อีกแล้ว
ไก ธอร์สไตส์สัน ประธานสมาคมฟุตบอลไอซ์แลนด์บอกว่า ฟุตบอลไอซ์แลนด์ถูกพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาชาติ เพราะคนที่นี่เป็นคนบ้าฟุตบอลโดยแท้จริง
ประธานธอร์สไตส์สันเล่าต่อว่า ประเทศนี้เต็มไปด้วยคนเล่นฟุตบอล ถึงแม้จะมีประชากรแค่ 330,000 คน โดยเฉพาะในกรุงเรกยะวิก จะได้เห็นสนามฟุตบอลที่เปิดสปอตไลท์เต็มไปหมด หรือแม้แต่สวนสาธารณะก็มีทีมระดับดิวิชั่น 3 ลงโม่แข้งกันท่ามกลางแฟนบอลที่เข้าชม 2-3 ร้อยคน
ส่วนคำถามที่มีคนสงสัยว่า ประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นทั้งปี แทบจะไม่เคยมีวันไหนที่มีอุณหภูมิเกินกว่า 15 องศาเซลเซียส จะเล่นฟุตบอลกันได้อย่างไร?
โค้ชฮอลล์กริมส์สันบอกว่า เมื่อก่อนก็ต้องเล่นกันบนพื้นกรวดที่ไม่มีเส้นแบ่งเขตอะไรทั้งสิ้น ประตูไร้ตาข่าย แต่ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา สมาคมฟุตบอลได้ปิ๊งไอเดียสร้างสนามฟุตบอลในร่มที่สามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นได้ขึ้นมาในทุกเมืองของประเทศ นี่คือจุดเริ่มต้นการเติบโตของฟุตบอลของดินแดนแสงเหนืออย่างแท้จริง
ว่ากันว่าไอเดียนี้มาพร้อมกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังเบ่งบาน ทำให้มีการสนับสนุนงบประมาณและการกู้เงินเพื่อสร้างสนามฟุตบอลในร่วมขึ้นแห่งแรก ใกล้กับสนามบินย่านเคฟลาวิกในกรุงเรกยะวิก ในปี 2000 หลังจากนั้นไม่กี่ปี สนามฟุตบอลในร่มแบบเต็มรูปแบบ 7 แห่ง สนามขนาดเล็กที่เล่นฟุตบอลได้ในทุกสภาพอากาศกว่า 100 แห่ง สนามพื้นหญ้าเทียมในทุกโรงเรียนของประเทศนี้ก็ผุดขึ้นมาพร้อมหน้าพร้อมตา
ไบรดาบลิก สโมสรในลีกสูงสุดของประเทศได้รับอานิสงส์จากการสร้างสนามฟุตบอลในร่มอย่างมาก เพราะสนามแห่งที่ 2 จาก 7 แห่งเป็นของสโมสรแห่งนี้ กลายเป็นศูนย์ฝึกฟุตบอลที่สร้างนักเตะที่ดีที่สุดของประเทศ ว่ากันว่ามีเด็กอายุ 3 ขวบไปร่วมฝึก การฝึกซ้อมใช้เวลาสัปดาห์ละ 6 วัน 11 เดือนต่อ 1 ปีเลยทีเดียว
ดาดี้ ราฟนุสสัน ผู้อำนวยการอคาเดมีของไบรดาบลิกกล่าวว่า การเข้าถึงง่ายของอคาเดมีเป็นจุดขายที่ทำให้เยาวชนมาฝึกกับอคาเดมีแห่งนี้ เพราะไม่ต้องขับรถไกลจากตัวเมืองเรกยะวิกก็ถึงสนามที่มีสาธารณูปโภคครบครัน ค่าใช้จ่ายก็ถูก ทำให้ใครๆ ก็มาเล่นฟุตบอลที่นี่ได้ ผลงานชิ้นโบว์แดงที่ไบรดาบลิก อคาเดมีปั้นออกไปแล้ว คือ กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน กองกลาง สวอนซี ซิตี้ , โยฮัน เบิร์ก กุดมุนด์สัน ของ ชาร์ลตัน แอธเลติก ซึ่งถือเป็นสองนักเตะที่ดีที่สุดของทีมชาติไอซ์แลนด์ในตอนนี้ เมื่อปฏิบัติการสร้างสนามเรียบร้อยแล้ว เอฟเอของไอซ์แลนด์เดินหน้าสร้างโค้ช ประเทศนี้มีโค้ชที่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่า 1 คนต่อประชากร 500 คนของไอซ์แลนด์ ขณะที่อังกฤษอยู่ในอัตราส่วนโค้ช 1 คนต่อประชากร 5,000 คน
ในปี 2008 เศรษฐกิจของไอซ์แลนด์ทรุด ทำให้มีนโยบายให้ทุกสโมสรในประเทศลดการนำเข้านักเตะต่างชาติค่าเหนื่อยแพง และเปลี่ยนมาให้โอกาสนักเตะเยาวชนไอซ์แลนดิคให้มากขึ้น ถัดมาในปี 2011 ลาเกอร์บัคที่เคยพาสวีเดนไปลุยฟุตบอลโลกและยูโรมาแล้วอย่างละ 3 ครั้ง เข้ามาคุมทัพไอซ์แลนด์ การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ลาเกอร์บัคมาปรับเปลี่ยนด้านกายภาพและการฝึกซ้อม แฟนๆ เริ่มเข้ามาเชียร์ทีมชาติมากขึ้น บางแมตช์ตั๋วขายหมดในวลาเพียง 20 นาที ผลงานของทีมดีขึ้นมาก ไอซ์แลนด์เกือบผ่านเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2014 ได้เป็นครั้งแรก แต่ไปตกรอบเพลย์ออฟด้วยน้ำมือของ โครเอเชีย จนประสบความสำเร็จผ่านเข้ารอบสุดท้าย ยูโร 2016 ในท้ายที่สุด
บยาร์กี้ กุนน์ลาฟส์สัน อดีตนักเตะ เปรสตัน และทีมชาติไอซ์แลนด์ที่ผันตัวมาเป็นเอเย่นต์บอกว่า สาเหตุที่ไอซ์แลนด์มาไกลเหมือนทุกวันนี้เพราะนักเตะชุดนี้เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และได้เห็นทั้งสนามพื้นก้อนกรวดและสนามในร่ม ทำให้มีความเข้าใจถึงฟุตบอลของประเทศนี้อย่างถ่องแท้ และหวังว่าหลังจากนี้ไอซ์แลนด์จะสร้างนักเตะให้เติบโตขึ้นมาเป็นระบบพร้อมกันหลายคนแบบนี้ได้ตลอดไป
การส่งลูกไปเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กเป็นที่นิยมมากในไอซ์แลนด์ นักเตะเทคนิคเจ๋งๆ อย่างซิกูร์ดส์สัน, กุ๊ดมุนด์สัน, ฟินน์โบกาสัน ในทีมชาติชุดนี้ เติบโตมาจากการเล่นเกมรับที่แน่นปึ๊ก สกัดคู่แข่งจากข้างหลัง ฝากรอยเท้าเอาไว้ก็มี ซึ่งอาจจะดูไม่สวยงามนัก แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันจากสนามฟุตบอลในร่มอุ่นๆ
“ไอซ์แลนด์ไม่มีนักเตะระดับโลก แต่เรามีทีมที่เจ๋งที่สุดในโลกของฟุตบอล” กุ๊ดมุนด์สันพูดแทนเพื่อนร่วมทีมทุกคน
และถือเป็นคำเตือนของแข้งจากดินแดนแห่งแสงเหนือถึงคู่แข่งในยูโรครั้งนี้