ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน เป็นการแข่งขันนัดสุดท้าย รอบแรก ของกลุ่มบี ที่สต๊าด เชฟฟรัว กีชาร์ เมืองแซงต์ เอเตียน เป็นการพบกันระหว่าง “สิงโตคำราม” อังกฤษ จ่าฝูงของกลุ่ม พบกับ สโลวาเกีย
อังกฤษ นำเป็นจ่าฝูงของกลุ่มบี จากผลงานการลงสนาม 2 นัด เสมอรัสเซีย 1-1 และชนะเวลส์ 2-1 มี 4 คะแนน นัดนี้ขอเพียงผลเสมอจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายทันที ในขณะที่สโลวาเกียลงเล่น 2 นัด แพ้เวลส์1-2 และชนะรัสเซีย 2-1 มีอยู่ 3 คะแนน สามารถลุ้นผลเสมอได้ แต่ต้องลุ้นให้เวลส์ไม่ชนะรัสเซียด้วย จึงจะผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
สถิติที่ผ่านมาทั้งสองทีมเคยเจอกัน 16 ครั้ง โดยเป็นอังกฤษที่เอาชนะได้ถึง 11 ครั้ง ส่วนสโลวาเกียชนะได้ 2 ครั้ง และเสมอกัน 3 ครั้ง
เกมนี้ รอย ฮอดจ์สัน กุนซือวัย 68 ปีของทีมชาติอังกฤษ มีการปรับเปลี่ยนผู้เล่นหลายตำแหน่ง โดยดร็อป เวย์น รูนีย์ กัปตันทีมเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น แต่ยังมาในระบบ 4-3-3 เช่นเดิม นำโดย โจ ฮาร์ต เป็นผู้รักษาประตู คู่เซนเตอร์ใช้แกรี่ เคฮิลล์ ที่วันนี้สวมปลอกแขนกัปตันทีม จับคู่กับคริส สมอลลิ่ง แบ๊กซ้ายใช้ไรอัน เบอร์ทรานด์ ส่วนแบ๊กขวาเป็น นาธาเนียล ไคลน์ มิดฟิลด์ตัวรับเป็น เอริค ดายเออร์ ส่วนคู่กลางให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำเกมกับ แจ๊ค วิลเชียร์ ส่วนปีกขวาเป็น อดัม ลัลลาน่า ซ้ายใช้ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ และให้ เจมี่ วาร์ดี้ เป็นกองหน้าตัวเป้า
ขณะที่ แยน โคซัก เฮดโค้ชสโลวาเกีย จัดผู้เล่นที่ดีที่สุดลงสนามเช่นกัน ใช้ระบบ 4-5-1 นำโดย มาตุส โคซาชิก เป็นผู้รักษาประตู คู่เซนเตอร์ใช้ กัปตันทีม มาร์ติน สเคอร์เทล กับ แยน ดูริก้า แบ๊กซ้ายเป็น โทมัส ฮูโบกัน โดยมีแบ๊กขวาเป็นปีเตอร์ เปคาริก ขณะที่วิกตอร์ เปชอฟสกี้ ยืนมิดฟิลด์ตัวรับ และให้มาเร็ก ฮัมซิก กับยูราย คุตสก้า ร่วมกันทำเกม ด้านขวาให้โรเบิร์ต มัก ขึ้นเกม ขณะที่ซ้ายเป็น วลาดิเมียร์ ไวส์ โดยมีออนเดร ดูด้า เป็นกองหน้าตัวเป้า
อังกฤษเริ่มเปิดเกมบุกทันที ได้โอกาสครั้งแรกในนาทีที่ 5 จากจังหวะที่ไคลน์เปิดให้วาร์ดี้ได้ชาร์จ แต่บอลหลุดนอกกรอบออกไป
นาทีที่ 9 อังกฤษมีโอกาสอีกครั้งจากจังหวะที่วาร์ดี้ โหม่งชงให้สเตอร์ริดจ์ได้โหม่ง แต่ว่าแนวรับสโลวาเกียยังมาช่วยกันสกัดออกไปได้
นาทีที่ 15 ลัลลาน่า เปิดจากด้านซ้าย บอลเลยไปถึงเฮนเดอร์สัน เอาบอลลงก่อนพลิกตัวยิง แต่ติดตัวฮูโบกัน
ถัดมา 2 นาที เฮนเดอร์สันวางบอลยาวจากกลางสนามให้วาร์ดี้ได้จังหวะหลุดเดี่ยว แต่ตอนยิงกลับยิงไปติดเซฟของโคซาซิก
อังกฤษยังเป็นฝ่ายครองเกม และมีโอกาสอีกครั้งในนาทีที่ 33 จากการประสานงานของเฮนเดอร์สันจ่ายทะลุช่องให้ไคลน์เปิดเข้ากลางมาที่ลัลลาน่า ได้ซัดเต็มๆ แต่บอลตรงตัวของโคซาซิก ปัดออกไปได้
ท้ายครึ่งแรกอังกฤษยังเป็นฝ่ายที่ครองเกมบุก แต่ไม่สามารถเจาะแผงเกมรับของสโลวาเกียได้ จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0
ครึ่งหลังทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น
นาทีที่ 53 สโลวาเกียเกือบได้ส้มหล่นจากจังหวะที่สมอลลิ่ง พักอกให้ฮาร์ตแต่ เบาเกินไป โรเบิร์ด มัก พยายามจะวิ่งมาฉก แต่ทำไม่สำเร็จ ตัดกลับมาเป็นอังกฤษบุกได้ สเตอร์ริดจ์จ่ายให้ไคลน์หลุดไป แต่จังหวะเปิดไปติดไหล่ของโคซาซิก ออกไป
ถัดมา 2 นาที เป็นโอกาสของสโลวาเกียอีกครั้ง จากจังหวะที่ฮัมซิก เปิดให้ไวส์ทางด้านซ้าย ล็อคหนึ่งจังหวะก่อนยิง แต่ฮาร์ตยังเซฟไว้ได้
อังกฤษจึงเปลี่ยนตัวทันทีส่งรูนีย์ กัปตันทีมลงมาแทนที่ของวิลเชียร์ เช่นเดียวกับสโลวาเกียที่ส่งดูซาน ชเวนโต้ ลงมาแทน ออนเดร ดูด้า
นาทีที่ 60 อังกฤษเปลี่ยนตัวที่สองส่ง เดเล่ อัลลี่ ลงมาแทนลัลลาน่า และลงมาก็มีโอกาสทันที จากจังหวะที่เฮนเดอร์สันเปิดจากขวา บอลเลยไปถึงอัลลี่ที่เติมขึ้นมายิง แต่สเคอร์เทลเซฟได้จากเส้นประตู
6 นาทีต่อมา สโลวาเกียเปลี่ยนตัวที่สองส่ง นอร์เบิร์ต ยอมแบร์ ลงมาแทน เปชอฟสกี้
นาทีที่ 75 อังกฤษบุกอีกครั้ง รูนี่ย์ได้ยิงจากนอกกรอบเขตโทษ แต่ก็แฉลบกองหลังออกไป ก่อนที่อังกฤษจะเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายส่งแฮร์รี่ เคน ลงมาแทนสเตอร์ริดจ์
สโลวาเกียเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายส่งมิลาน สคริเนียร์ ลงมาแทน ไวส์
ช่วงท้ายเกมอังกฤษพยายามบุกหนัก แต่สโลวาเกียก็ยังคงเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น ทำให้ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ จบเกมอังกฤษทำได้เพียงเสมอกับสโลวาเกีย 0-0 ขณะที่อีกคู่หนึ่งเวลส์เอาชนะรัสเซีย 3-0 ทำให้เวลส์เป็นแชมป์กลุ่ม มี 6 คะแนน ขณะที่อังกฤษ มี 5 คะแนน ได้เพียงรองแชมป์กลุ่ม โดยทั้งสองทีมผ่านเข้ารอบ 16 ทีมเรียบร้อยแล้ว ขณะที่สโลวาเกียมี 4 คะแนน เป็นอันดับ 3 ต้องลุ้นเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุดต่อไป ส่วนรัสเซียตกรอบหลังมีเพียง 1 คะแนน
