ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อช่วงดึกของวันที่ 30 มิถุนายน เป็นการแข่งขันในรอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย คู่แรก ซึ่งเป็นการโครจรมาพบกันระหว่าง “อินทรีขาว” โปแลนด์ กับ “ฝอยทอง” โปรตุเกส ที่สต๊าด เวโลโดรม เมืองมาร์เซย
สถิติที่โปแลนด์เคยพบกับโปรตุเกสก่อนหน้านี้ 10 นัด ปรากฏว่า โปแลนด์ชนะได้เพียง 3 นัด แพ้ไปถึง 4 นัด และเสมอกัน 3 นัด โปแลนด์ยิงได้ 9 ประตู และเสียไป 13 ประตู โดยนัดล่าสุดที่พบกันเป็นเกมอุ่นเครื่องเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ปี 2010 ที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ซึ่งเสมอกันไป 0-0
ก่อนเริ่มการแข่งขันนัดนี้ สหพันธ์ฟุตบอลแห่งยุโรป หรือ “ยูฟ่า” ได้จัดให้นักเตะทั้ง 2 ทีมและผู้ชมในสนามร่วมไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตให้เหตุการณ์ก่อการร้าย ที่สนามบินในนครอิสตันบุล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมาด้วย
เกมนี้ เฟร์นานโด ซานโตส กุนซือจอมเก๋าโปรตุเกสจัดทัพระบบ 4-4-2 นำโดย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซุปเปอร์สตาร์จากรีล มาดริด สวมปลอกแขนกัปตันทีมลงล่าตาข่าย พร้อมกับลุ้นทำสถิติยิงประตูเทียบเท่า มิเชล พลาตินี่ นโปเลียนลูกหนังชาวฝรั่งเศสที่ครองดาวซัลโวตลอดกาลของศึกยูโร 9 ประตู โดยโรนัลโด้ยิงรวมแล้ว 8 ประตู และเพิ่งสร้างสถิติเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตูในศึกยูโร 4 สมัยติดต่อกันหลังจากซัดในยูโร 2016 ไปแล้ว 2 ประตูในเกมเสมอฮังการี 3-3
ส่วนนักเตะโปรตุเกสตัวจริงคนอื่น ประกอบด้วย ผู้รักษาประตู รุย ปาทริซิโอ กองหลัง เซดริค โซอาเรส, เปเป้, โจเซ่ ฟอนเต้, เอลิเซอู แดนกลางมีวิลเลียม คาร์วัลโญ่, เรนาโต้ ซานเชส, เจา มาริโอ, เอเดรียน ซิลวา และศูนย์หน้า นานี่
ขณะที่ อดัม นาวาวก้า กุนซือทีมโปแลนด์วางแผนการเล่นในระบบ 4-4-2 เช่นกันนำโดยโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ศูนย์หน้ากัปตันทีมจากบาเยิร์น มิวนิก ส่วนผู้รักษาประตู ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ กองหลัง ลูคัสซ์ ปิสซ์เซ็ก, คามิล กลิก, มิฮาล ปาซดัน, อาร์ตูร์ เยดเซซิก กองกลาง คริสตอฟ มัคซินสกี้, กีเซกอร์ซ ครีโคเวียก, ยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้, คามิล โกรซิคกี้ และศูนย์หน้า อาร์คาดิอุสซ์ มิลิก
เกมครึ่งแรกเริ่มไม่ถึง 2 นาที โปแลนด์พังประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว 1-0 จากจังหวะที่คามิล โกรซิคกี้กระชากบอลทางริมเส้นฝั่งขวาแล้วปาดเข้ากลางให้โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ วิ่งเข้ามาซัดตุงตาข่ายเป็นประตูแรกของตัวเองในทัวร์นาเมนต์นี้อีกด้วย
เข้าสู่นาทีที่ 10 โปรตุเกสพยายามครองบอลเปิดเกมบุกเข้าใส่ ก่อนที่โรนัลโด้ได้โอกาสยิงจังหวะแรกไปติดบล็อก และนานี่ยิงซ้ำก็ยังไปติดบล็อกอีกครั้ง
นาทีที่ 15 แข้งโปแลนด์ตัดบอลตรงกลางสนาม และเป็นอาร์คาดิอุสซ์ มิลิก ลากบอลเข้าไปก่อนตัดสินใจยิงด้วยเท้าซ้ายหลุดกรอบออกไป
จากนั้นทัพโปรตุเกสครองบอลโหมบุกหนัก ขณะที่แข้งโปแลนด์อาศัยจังหวะสวนกลับเร็วบุกขึ้นมาสร้างจังหวะลุ้นประตูได้อย่างหวาดเสียว
นาทีที่ 28 นานี่ฉกบอลจากเท้านักเตะโปแลนด์ได้ก่อนลากเข้าไปแล้วจ่ายต่อให้โรนัลโด้ง้างเท้าซัดบอลบดพื้นไปเข้ามือลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้
นาทีที่ 30 โรนัลโด้โดนกองหลังโปแลนด์ผลัดล้มลงไปในเขตโทษ แต่ผู้ตัดสินไม่เป่าให้โปรตุเกสได้จุดโทษ
นาทีที่ 33 ทัพฝอยทองไล่ตามตีเสมอสำเร็จ 1-1 จากจังหวะที่เรนาโต้ ซานเชส ดาวรุ่งวัย 18 ปี ทำชิ่งกับนานี่ตอกส้นหลังคืนให้เรนาโต้ ซานเชส ตะบันด้วยเท้าซ้ายไปแฉลบเปลี่ยนทางเข้าไปตุงตาข่ายเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในนามทีมชาติอีกด้วย
จบครึ่งแรกยังเสมอกัน 1-1
เริ่มครึ่งหลังโปแลนด์ทำเกมบุกเข้าใส่ตั้งแต่ต้น จนได้ลุ้นประตูในนาทีที่ 49 อาร์คาดิอุสซ์ มิลิก ผ่านบอลจากริมเส้นด้านขวาให้โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ พุ่งบอลไปเข้าซองรุย ปาทริซิโอ
นาทีที่ 55 โปรตุเกสหาโอกาสบุกโต้กลับเร็วขึ้นมาก่อนที่นานี่ไหลบอลต่อให้โรนัลโด้ลากบอลเข้าเขตโทษแล้วตัดสินใจยิงด้วยเท้าซ้ายไปเข้าข้างตาข่าย
นาทีที่ 59 นานี่ผ่านบอลเข้าไปในเขตโทษ แต่โรนัลโด้ยิงวืดไปก่อนบอลกระเด้งไปเข้าทางเอเดรียน ซิลวา เก็บตกแถวสองซัดไปติดบล็อก
นาทีที่ 65 โรนัลโด้จ่ายบอลต่อให้เซดริค โซอาเรส แบ๊กขวาโปรตุเกสที่เติมเกมรุกขึ้นมาตั้งป้อมสับไกยิงด้วยเท้าขวาเต็มข้อ แต่บอลหลุดกรอบออกไป
นาทีที่ 69 ทัพโปแลนด์เดินเกมขึ้นทางฝั่งขวา อาร์ตูร์ เยดเซซิกโยนบอลเข้าไปให้อาร์คาดิอุสซ์ มิลิกโฉบเข้ามายิงที่เสาแรก แต่รุย ปาทริซิโอตะครุบบอลไว้ได้ทัน
นาทีที่ 78 โปรตุเกสได้ลูกเตะมุม โจเซ่ ฟอนเต้ เติมเกมรุกขึ้นมาโขกบอลไปตรงกรอบ แต่ไม่ผ่านมือลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้ นายด่านโปแลนด์
หมดเวลา 90 นาที เสมอกัน 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ครึ่งแรก โปรตุเกสเป็นฝ่ายทำเกมบุกได้ดีกว่า นาที 92 เรนาโต้ ซานเชส มีโอกาสสับไกในเขตโทษ แต่ติดบล็อกของผู้เล่นโปแลนด์
นาที 96 โปรตุเกสเปลี่ยนตัวผู้เล่นคนสุดท้าย ดานิโล่ลงไปแทนวิลเลียม คาร์วัลโญ่
หลังจากนั้นอีก 2 นาที โปแลนด์ก็เปลี่ยนตัว ส่งโทมสซ์ ยอดโววิก กองกลางตัวรับจากทีมเลเกียลงไปแทนคริสตอฟ มัคซินสกี้
หลังจากปล่อยให้โปรตุเกสครองเกมได้มากกว่าในช่วงต้นครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษ โปแลนด์ก็เริ่มตั้งเกมได้ นาที 100 มิลิกพยายามยิงไกลจากนอกเขตโทษ แต่บอลเหินข้ามคานไป
ครบ 105 นาที สองฝ่ายยังทำอะไรกันไม่ได้ หมดเวลาครึ่งแรกของช่วงต่อเวลาพิเศษ ยังเสมอกัน 1-1
เข้าช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลัง โปแลนด์เริ่มทำเกมบุกได้มากขึ้น แต่สองฝ่ายไม่กล้าผลีผลามบุกมาก จึงยังไม่มีจังหวะหวาดเสียว
นาที 109 เกมหยุดชะงักไปชั่วคราวเมื่อมีแฟนบอลแอบวิ่งลงไปในสนามหวังจะเข้าไปหาโรนัลโด้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะวิ่งไล่กวดและพาตัวออกจากสนามไป
หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างเล่นอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วง 5 นาทีสุดท้าย เพราะกลัวว่าจะเสียประตู นาทีสุดท้าย โปแลนด์ได้ลุ้นจากจังหวะสับไกของบาร์โตสซ์ คาปุสต์ก้า แต่โดนบล็อกเอาไว้ได้
เมื่อครบ 120 นาที ทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกันไป 1-1 ต้องตัดสินด้วยการดวลลูกโทษที่จุดโทษ
โปรตุเกสเป็นฝ่ายยิงก่อน โรนัลโด้รับหน้าที่ยิงเป็นคนแรก และสังหารเข้าไปไม่พลาด เช่นเดียวกับโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวยิงโปแลนด์ ทำให้ 2 ทีมยิงเข้าไปฝ่ายละ 1 ลูก
หลังจากนั้นคนยิงคนที่ 2 และ 3 ของทั้ง 2 ฝ่ายต่างไม่พลาด กระทั่งนานี่ ผู้เล่นคนที่ 4 ของโปรตุเกสส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายให้ทีมฝอยทองได้เปรียบ 4-3 รุย ปาทริซิโอ นายทวารโปรตุเกสก็พุ่งปัดลูกยิงของยาคุบ บลาสซีคอฟสกี้ คนยิงคนที่ 4 ของโปแลนด์เอาไว้ได้
จากนั้น ริคาร์โด้ กวาเรสม่า ก็ลงมายิงปิดท้ายให้โปรตุเกสชนะดวลจุดโทษในที่สุด 5-3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปรอพบกับผู้ชนะระหว่างเวลส์กับเบลเยียมต่อไป
