ลิเน็ตต์ สาวโปแลนด์หวดต้อน คุง ดาวรุงสวิส ผงาดแชมป์ไทยแลนด์​โอเพ่น

การแข่งขันเทนนิสหญิง ดับเบิลยูทีเอ อินเตอร์เนชั่นแนล ซีรีส์ ทัวร์นาเมนท์ “จีเอสบี ไทยแลนด์ โอเพ่น 2020 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ” ชิงเงินรางวัลรวม 275,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.8 ล้านบาท ที่ จีเอสบี เซ็นเตอร์ คอร์ต ใน ทรู อารีน่า หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีพิธีปิดการแข่งขัน เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมี นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขัน เป็นประธาน ร่วมด้วย นายธงชัย ศรีมณฑก ผู้อำนวยการธนาคารออมสินภาค 4, นายธนพัชธ์ สุขสุธรรมวงศ์ ที่ปรึกษาโครงการพิเศษ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) และมี นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราวด์ กรุ๊ป จำกัด ในนามทรู อารีน่า หัวหิน ร่วมในงานด้วย

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ประเภทหญิงเดี่ยว เลโอนี คุง นักเทนนิสสาวดาวรุ่งชาวสวิสวัย 19 ปี มือ 283 โลก ซึ่งเป็นนักกีฬาที่ผ่านมาจากรอบคัดเลือก และหวดล้มมือวางของรายการถึง 3 คน จนสามารถผ่านเข้ามาแย่งแชมป์กับ แม็กด้า ลิเน็ตต์ นักหวดมือวางอันดับ 5 ของรายการ และมือ 42 โลกจากโปแลนด์ วัย 28 ปี โดยสถิติที่ผ่านมาของคู่นี้ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน ทำให้ถือเป็นการเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก

เซตแรกทั้งสองฝ่ายหวดมาเสมอกันที่ 2-2 ก่อนที่ แม็กด้า ลิเน็ตต์ อาศัยการหวดลูกท้ายคอร์ตที่เหนียวแน่นเบรกได้ในเกมที่ 6 ขึ้นนำ 4-2 และออกเสิร์ฟปิดเซตเอาชนะไปได้ก่อน 6-3 เซตสอง เลโอนี คุง เริ่มออกอาการล้า และมีอาการเจ็บที่ต้นขาขวา จนถูกเบรกตั้งแต่เกมแรก ขณะที่นักหวดสาวโปแลนด์รักษาเกมเสิร์ฟขึ้นนำ 3-1 และหวดเบรกได้อีกขึ้นนำห่าง 4-1 ก่อนเอาชนะไปได้อีก 6-2

Advertisement

สรุป แม็กด้า ลิเน็ตต์ ชนะ เลโอนี คุง 2-0 เซต 6-3, 6-2 ใช้เวลาการแข่งขัน 1 ชั่วโมง 16 นาที ทำให้ แม็กด้า ลิเน็ตต์ คว้าแชมป์รายการไทยแลนด์ โอเพ่น ได้เป็นสมัยแรก และนับเป็นแชมป์ดับเบิลยูทีเอรายการที่ 2 หลังจากที่เคยคว้าแชมป์รายการบร็องซ์ เมื่อปี 2019 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

สำหรับ แม็กด้า ลิเน็ตต์ คว้าแชมป์ไทยแลนด์ โอเพ่น 2020 พร้อมรับถ้วยรางวัลปลาวาฬบูด้าสีพิงค์โกลด์ ที่มีน้ำหนัก 13 กิโลกรัม และความสูง 75 เซนติเมตร รวมทั้งยังรับเงินรางวัล 43,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.34 ล้านบาท และรับคะแนนสะสมเพิ่ม 280 คะแนน ส่วน เลโอนี คุง ได้รองแชมป์ ​พร้อมรับจานเบญจรงค์ และเงินรางวัล 21,400 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 668,000 บาท

Advertisement

หลังการแข่งขัน แม็กด้า ลิเน็ตต์ กล่าวว่า ได้เดินทางมาแข่งขันรายการนี้เมื่อปีก่อน และก็รู้สึกประทับใจประเทศไทย ทำให้เดินทางมาแข่งขันอีกครั้งในปีนี้ และก็ประทับใจเช่นกัน รวมถึงคอร์ตสีชมพูที่เป็นการสื่อถึงเรื่องการกุศลในการมอบเงินช่วยเหลือให้กับมูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ สำหรับการเจอกับ เลโอนี คุง ในรอบชิงก็ถือเป็นงานหนัก และหวังว่าจะได้เจอกันอีกในรายการต่อไปหลังจากที่เธอทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในรายการนี้

แม็กด้า ลิเน็ตต์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นแชมป์  แต่พอมาแล้วประสบความสำเร็จก็มีความสุขมาก เกมนี้เป็นเกมยาก จำเป็นต้องใช้สมาธิมาก และมีหลายจังหวะกดดัน ต้องใช้เทคนิคการเล่นหลายอย่าง ต้องใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาสู้กับความสดของคู่ต่อสู้ จนคว้าชัยได้ในที่สุด

“ถือเป็นการเริ่มต้นปีได้ดีมากๆ ซึ่งคิดว่าตอนนี้ฟอร์มการเล่นดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีการพัฒนาขึ้น และจะพยายามรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีแบบนี้ไปในทุกทัวร์นาเมนต์ ทั้งนี้ถ้ามีโอกาสปีหน้าก็อยากจะกลับมาป้องกันแชมป์ที่นี่อีกครั้ง การมาเล่นที่นี้ถือเป็นประสบการณืที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูตารางการแข่งขันอีกครั้งหนึ่ง” แม็กด้า ลิเน็ตต์ กล่าว

ส่วนรอบชิงชนะเลิศ ประเภทหญิงคู่ เอรีน่า โรดิโอโนว่า และสตอร์ม แซนเดอร์ส โชว์ฟอร์มสมราคาคู่มือวางอันดับ 4 ของรายการจากออสเตรเลีย ไล่ต้อนชนะ คู่ของ บาร์บาร่า ฮาส จากออสเตรีย และเอลเล็น เปเรซ จากออสเตรเลีย 2-0 เซต 6-3, 6-3 คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ โดยนับเป็นแชมป์หญิงคู่รายการดับเบิลยูทีเอครั้งแรกของ เอรีน่า โรดิโอโนว่า และนับเป็นแชมป์รายการที่ 2 ของ สตอร์ม แซนเดอร์ส ในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ที่เธอเคยคว้าแชมป์เมื่อปี 2017 ที่น็อตติ้งแฮม ประเทศอังกฤษ

สำหรับคู่ชนะเลิศ เอรีน่า โรดิโอโนว่า และสตอร์ม แซนเดอร์ส ได้รับถ้วยรางวัลจานเบญจรงค์ พร้อมรับเงินรางวัล 13,580 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 424,000 บาท และยังได้รับคะแนนสะสมเพิ่ม 280 คะแนน ส่วนคู่รองชนะเลิศ บาร์บาร่า ฮาส และเอลเล็น เปเรซ ได้รับถ้วยรางวัลจานเบญจรงค์ พร้อมรับเงินรางวัล 7,200 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 225,000 บาท และยังได้รับคะแนนสะสมอีก 180 คะแนน

หลังการแข่งขัน เอรีน่า โรดิโอโนว่า และสตอร์ม แซนเดอร์ส เปิดเผยว่า “ถือเป็นเกมที่สนุกมากที่ได้มาเล่นที่หัวหิน ถึงแม้ต้องเจอกับลมแรง แต่ก็สามารถปรับตัวได้ดี และรับกับความกดดันได้ ซึ่งก็อยากที่จะมาป้องกันแชมป์อีกในปีหน้า ซึ่งรายการนี้ถือเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ดี มีกิจกรรมมากมาย และเมืองไทยมีความสวยงาม ครั้งหน้าก็จะวางแผนมาใช้เวลามากกว่านี้ในการพักผ่อนด้วย ส่วนสนามแข่งขันสีชมพูสื่อความหมายถึงผู้หญิง และรายได้จากการขายบัตรยังจะบริจาคช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งถือว่าได้มีส่วนร่วมการกุศล สนามมีความสวยงาม และแตกต่างจากสนามที่ผ่านมาๆ”

นอกจากนี้ ผู้จัดการแข่งขันยังนำรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่าย รวมทั้ง นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราวด์ กรุ๊ป จำกัด ในนามทรู อารีน่า หัวหิน ยังได้บริจาคเงินสมทบเป็นจำนวน 1 ล้านบาท มอบให้กับมูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายต่อไปอีกด้วย

นายสุวัจน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ และได้รับคำชมจากสมาคมนักเทนนิสอาชีพหญิง (ดับเบิลยูทีเอ) ว่า มีมาตรฐานการจัดการแข่งขันดี โดยมีการใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมทั้งสถานที่แข่งขัน และสิ่งอำนวยความสะดวกยอดเยี่ยม แสดงถึงมาตรฐานด้านการจัดกีฬาของประเทศไทย ขณะที่นักเทนนิสที่เข้าร่วมชิงชัยทุกคนต่างก็แสดงความพอใจในการต้อนรับที่อบอุ่น และชอบบรรยากาศของเมืองหัวหิน ส่วนจำนวนยอดผู้ชมก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ประธานที่ปรึกษาการจัดการแข่งขัน กล่าวอีกว่า ปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่นักเทนนิสไทยสามารถผ่านเข้าถึงเมนดรอว์ รอบสอง ได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่าในตอนนี้นักหวดมือท็อปโลกไม่มีใครกลัวใครแล้ว เนื่องจากมือ 5 โลกอย่าง เอลิน่า สวิโตลิน่า เต็งหนึ่งของรายการก็ยังแพ้ นาโอะ ฮิบิโนะ มือ 84 โลกจากญี่ปุ่น รวมทั้งเต็งสามอย่าง หวัง เฉียง มือ 27 โลกจากจีนก็ยังแพ้ เลโอนี คุง มือ 283 โลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งแสดงว่าคลื่นลูกใหม่ของวงการเทนนิสกำลังมา

นายสุวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ยังหวังว่า รายการ จีเอสบี ไทยแลนด์ โอเพ่น 2020 พรีเซนเต็ด บาย อีเอ จะเป็นเวทีที่ช่วยยกระดับมาตรฐานกีฬา รวมทั้งสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ให้กับวงการเทนนิสโลก และสร้างนักกีฬาไทยขึ้นมาด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การจัดเทนนิส ไทยแลนด์ โอเพ่น ในปีนี้ เราจัดขึ้นท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา (ไวรัสโควิด-19) ซึ่งหลายประเภทกีฬางดจัดการแข่งขัน แต่เทนนิสรายการนี้ยังสามารถจัดต่อไปได้ ซึ่งหมายความว่า รายการนี้มีมาตรฐานในการจัดการดูแลที่ดี

“เทนนิสรายการนี้ถือว่ามีมาตรฐานในการดูแลด้านสาธารณสุข รวมทั้งการต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้กับนักเทนนิส หรือทางดับเบิลยูทีเอจะเห็นว่า เราไม่เรียบร้อย ฉะนั้นจึงถือว่า เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทยท่ามกลางวิกฤต และไทยแลนด์ โอเพ่น จะเข้ามาช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศไทยว่า มีความปลอดภัย สามารถมาท่องเที่ยว และมาชมกีฬาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ นอกเหนือจากเรื่องกีฬา ในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่เราต้องการสร้างความมั่นใจให้กับชาวต่างชาติ” นายสุวัจน์ กล่าวปิดท้าย

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image