สารพัดเคล็ดความเชื่อในโอลิมปิก”รีโอเกมส์2016″

ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไปไกลขนาดไหน เรื่องที่พึ่งทางใจเหนือธรรมชาติ หรือความเชื่อเรื่องโชคลาง ก็ยังเป็นของคู่กับวงการกีฬามายาวนาน เพราะขนาดนักกีฬาชื่อดัง ฝีมือระดับสุดยอดของโลก อาทิ เซเรน่า วิลเลียมส์ นักเทนนิสหญิงมือ 1 ของโลก, ไมเคิล จอร์แดน ตำนานบาสเกตบอลเอ็นบีเอ, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แข้งซุปเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส, ไทเกอร์ วู้ดส์ อดีตโปรกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก ต่างก็มีความเชื่อหรือเคล็ดลับส่วนตัวของตัวเองทั้งสิ้น

สำหรับ โอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ซึ่งกำลังแข่งขันอยู่ในขณะนี้ก็เช่นกัน นักกีฬาหลายคนต่างก็หาที่พึ่งทางใจ หรือมี “พิธีกรรม” ก่อนแข่งในแบบฉบับของตัวเอง เพื่อหวังให้ประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งสิ้น

ยกตัวอย่างทัพนักกีฬาไทย ก่อนเดินทางไปแข่งขันที่บราซิล หลายๆ สมาคมกีฬาพานักกีฬาไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือนมัสการพระรูปที่เลื่อมใสเพื่อขอพร โดยเฉพาะ พระพรหมมังคลาจารย์ หรือ “เจ้าคุณธงชัย” แห่งวัดไตรมิตร ซึ่งเป็นกระแสข่าวฮือฮาไปทั่วโลกจากการปลุกเสก “ผ้ายันต์เลสเตอร์” และเดินทางไปให้พรที่สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม ก่อนหน้า เลสเตอร์ ซิตี้ จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างพลิกความคาดหมายเมื่อฤดูกาลก่อน

นอกจากนี้หลายคนยังบนบานศาลกล่าวไว้ก่อนเดินทาง เช่น “แนน” โสภิตา ธนสาร จอมพลังสาวจากชุมพร เจ้าของเหรียญทองยกน้ำหนักหญิงรุ่น 48 กก. ซึ่งบอกว่าก่อนเดินทางไปแข่งขันได้บนไว้กับ หลวงพ่อทันใจ ที่พม่า ขอให้ได้โควต้าไปแข่งขันโอลิมปิก แล้วจะนำดอกไม้ไปถวาย รวมทั้งบนกับ อนุสาวรีย์ย่าโม ที่นครราชสีมา หากได้เหรียญทองโอลิมปิกก็จะแก้บนด้วยการรำและถวายหัวหมู

Advertisement
"แนน" โสภิตา ธนสาร
“แนน” โสภิตา ธนสาร

ส่วน 2 จอมเตะทีมชาติ อีกหนึ่งความหวังเหรียญรางวัลของทัพไทยจากกีฬาเทควันโดอย่าง “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์วัฒนกิจ และ “เทม” เทวินทร์ หาญปราบ ต่างก็บนเอาไว้ก่อนเดินทางเช่นกัน

โดยเทนนิสบอกว่า หากได้เหรียญทองจะแก้บนด้วยการวิ่ง 99 รอบ ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เนื่องจากพี่ชายศึกษาอยู่ที่นั่น รวมทั้งจะไหว้ไก่ตัวใหญ่ อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช ที่วงเวียนใหญ่ด้วย ขณะที่เทมบอกว่า ก่อนเดินทางไปบราซิล ตนและครอบครัวได้ไปไหว้ หลวงพ่อโสธร ที่ จ.ฉะเชิงเทรา และบนไว้ว่าถ้าได้เหรียญรางวัลกลับมา จะนำไข่ต้ม 999 ฟอง ไปถวายหลวงพ่อ

พาณิพัค วงศ์พัฒนากิจ
พาณิพัค วงศ์พัฒนากิจ

สำหรับนักกีฬาต่างชาติก็มีเคล็ดความเชื่อเรื่องโชคลางไม่ต่างกัน อย่างเซเรน่าที่เกริ่นไปตอนต้น ถึงฟอร์มการเล่นในสนามจะน่าเกรงขามขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยทิ้งการปฏิบัติตัวแบบเดิมๆ ที่เธอมองว่าเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เช่น ต้องผูกเชือกรองเท้าด้วยวิธีพิเศษอย่างหนึ่งเสมอ ต้องสวมถุงเท้าคู่เดิมตลอดการแข่งขัน

รวมถึงการโยนบอลเด้งพื้น 5 ครั้งก่อนเสิร์ฟแรก และ 2 ครั้งก่อนเสิร์ฟสอง ครั้งหนึ่งตอนแพ้รายการใหญ่ เซเรน่าเคยบ่นกับนักข่าวด้วยว่าสาเหตุเป็นเพราะเธอไม่ได้ทำตามท่ารูทีนที่ตัวเองคุ้นเคยนั่นเอง

เซเรน่า วิลเลี่ยมส์
เซเรน่า วิลเลี่ยมส์

ยังมีนักกีฬาอีกหลายคนที่มีเคล็ดส่วนตัวคล้ายๆ กับเซเรน่า เช่น เคย์ล่า แฮร์ริสัน นักยูโดเหรียญทองของสหรัฐ มี “ถุงเท้านำโชค” ซึ่งได้เป็นของขวัญจากคุณยาย, ลอร่า อันสเวิร์ธ นักกีฬาฮอคกี้หญิงของสหราชอาณาจักร ห้าม แอชลี่ บอล เพื่อนร่วมทีม ยืดผมเด็ดขาด เพราะเวลาบอลที่ปกติเป็นคนผมหยิกยืดผมก่อนแข่งทีไร แมตช์นั้นทีมจีบีจะเล่นไม่ดีทุกที

เคย์ล่า แฮร์ริสัน
เคย์ล่า แฮร์ริสัน

หู เหอหมิง นักปิงปองของออสเตรเลีย ต้องเอามือลูบโต๊ะทุกครั้งก่อนเล่นแต่ละแต้ม, ราฟาเอล นาดาล อดีตนักเทนนิสมือ 1 ของโลกชาวสเปนซึ่งคว้าเหรียญทองประเภทชายคู่จากรีโอเกมส์คราวนี้ ก็มีขวดน้ำส่วนตัว 2 ขวด ที่จะต้องจิบระหว่างเบรกทุกครั้งในช่วงแข่งขัน, คาสเตอร์ เซเมนย่า นักวิ่งระยะกลางหญิงของแอฟริกาใต้จะสวมสร้อยข้อมือที่ได้รับจากภรรยาติดตัวระหว่างแข่งเสมอ ฯลฯ

ส่วนพิธีกรรมที่ฮือฮาที่สุดของโอลิมปิกเกมส์หนนี้ คงต้องยกให้ ซานโต้ คอนโดเรลลี่ นักว่ายน้ำชาวแคนาเดียนซึ่งต้องชูนิ้วกลางให้พ่อของตัวเองที่ดูอยู่บนอัฒจันทร์เสมอ ไม่ใช่ว่าพ่อลูกมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันมา แต่เพื่อสร้างความมั่นใจและเป็นเคล็ดให้ตัวเองโชคดี!

ซานโต้ คอนโดเรลลี่
ซานโต้ คอนโดเรลลี่

สจ๊วร์ต ไวส์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคอนเนกติกัต สหรัฐอเมริกา บอกว่า ถึงพิธีกรรม ความเชื่อ การบนบานศาลกล่าว หรือเครื่องรางต่างๆ จะฟังดูไร้สาระสำหรับบางคน แต่ก็เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่ดี อีกทั้งในทางจิตวิทยา บางครั้งก่อนแข่งในหลายๆ ชนิดกีฬา นักกีฬาจะมีเวลาว่างค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้ว่างถึงขั้นจะมาซ้อมแบบจริงๆ จังๆ การทำเรื่องรูทีนต่างๆ จะช่วยให้มีสมาธิกับตัวเอง ไม่คิดฟุ้งซ่าน

ไวส์ กล่าวด้วยว่า แม้ในทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไม่ได้ว่าการสวมถุงเท้าคู่เดิมทุกแมตช์จะช่วยให้เล่นดีได้อย่างไร แต่ก็สามารถอธิบายได้ว่า การกระทำดังกล่าวคล้ายๆ กับเวลานักวิจัยให้คนไข้ทานยาเม็ดหลอกๆ (placebo) แล้วบอกว่ามีผลในการรักษาโรคนั้นโรคนี้ และตัวผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นจริงๆ เนื่องจากจิตใจเชื่ออย่างนั้น

เพราะฉะนั้นจะถือว่าไร้สาระเสียทีเดียวก็คงไม่ได้เหมือนกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image