สกู๊ปหน้า 1 : โรมันขายทิ้งเชลซี เซ่นไฟสงครามรัสเซีย

สกู๊ปหน้า 1 : โรมันขายทิ้งเชลซี เซ่นไฟสงครามรัสเซีย

ความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน กระทบชิ่งไปในทุกวงการทั่วโลก โดยเฉพาะวงการ กีฬา รัสเซียถูกแบนจากการแข่งขันต่างๆ ทั่วโลก นับรวมไปถึงการทำหน้าที่ต่างๆ ของชาวรัสเซียในวงการกีฬาด้วย

เชลซี เป็นสโมสรฟุตบอลที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เพราะ โรมัน อับราโมวิช ประธานสโมสรชาวรัสเซีย ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแดนหมีขาว ถูกกดดันจากหลายฝ่ายให้ต้องยอมปล่อยเชลซีออกจากการครอบครอง

อับราโมวิช เข้าใจดีถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงประกาศลดบทบาทการเป็น เจ้าของเชลซี ถ่ายโอนมอบอำนาจให้ มูลนิธิการกุศลเชลซี บริหารสโมสรต่อ แต่มูลนิธิปฏิเสธที่จะทำหน้าที่นั้น

สุดท้ายแล้ว “เสี่ยหมี” ออกมายืนยันว่า จะขาย “เชลซี” และนำเงินที่ได้จากการขายสโมสรทั้งหมดนำไปบริจาคให้เหยื่อจากสงครามในยูเครน ทั้งกองทุนฉุกเฉินเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และการให้ความช่วยเหลือในระยะยาว

Advertisement

“ทุกๆ การตัดสินใจที่เกี่ยวกับสโมสร มักคำนึงถึงผลประโยชน์ของทีมเป็นสำคัญ ในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงตัดสินใจที่จะขายสโมสรเพราะคิดว่านี่เป็นทางเลือก ที่ดีที่สุดสำหรับทีม แฟนๆ เจ้าหน้าที่ รวมถึงสปอนเซอร์ทั้งหมด การดำเนินการขายทีมจะเป็นไปอย่างละเอียดตามขั้นตอน ไม่เร่งรัด และจะไม่เรียกคืนหนี้สินใดๆ จากสโมสรทั้งสิ้น” เจ้าของสโมสรเปิดเผยในแถลงการณ์

การตัดสินใจขายสโมสรในครั้งนี้คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านปอนด์ (1.3 แสนล้านบาท) แต่มูลค่าที่นิตยสาร ฟอร์บส์ ประเมินไว้ในปี 2021 อยู่ที่ 2.4 พันล้านปอนด์ (1.08 แสนล้านบาท)

มองย้อนกลับไปในวันที่ เคน เบตส์ ประธานสิงห์บลู ขายสโมสรทั้งหมดให้ อับราโมวิช ในปี 2003 มูลค่า 140 ล้านปอนด์ (6.3 พันล้านบาท) และทุ่มเงินในการเสริมทีมมหาศาลถึง 120 ล้านปอนด์ (5.2 พันล้านบาท) ให้กับ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือไฟแรงชาวโปรตุกีส ช้อปปิ้งอย่างสนุกมือ จนสร้างความสำเร็จมากมายให้กับสโมสร

Advertisement

หลังจากเสริมแกร่งจนเข้าที่เข้าทางแล้ว เชลซีในยุคอับราโมวิชก็เดินหน้าคว้าแชมป์มากมาย ทั้งแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกของสโมสรในรอบ 50 ปี ในฤดูกาล 2004-2005 พ่วงด้วยสถิติเสียประตูน้อยที่สุดในลีกตลอดกาลที่ 15 ประตู และในปัจจุบัน ยังไม่มีใครทำลายสถิติดังกล่าวลงได้ ตลอดระยะเวลา 19 ปี

อับราโมวิช เปลี่ยนกุนซือไปทั้งหมด 15 คน ถือเป็นตัวเลขที่เยอะมากๆ เฉลี่ยแล้วกุนซือ 1 คน จะมีเวลาคุมทีมเฉลี่ย 1 ฤดูกาลนิดๆ เท่านั้นเอง จากการเปลี่ยนกุนซือบ่อย ส่งผลให้เชลซีกลายเป็นทีมที่เสียเงินค่าชดเชยให้กับผู้จัดการทีมจากการไล่ออกมากที่สุด จำนวน 113.5 ล้านปอนด์ (4.6 พันล้านบาท)

การเสริมทีมของเชลซีในยุคหลังเรียกได้ว่าไม่อั้น ภายใต้เงินของ เสี่ยหมี ทีม สิงห์บลู ใช้เงินซื้อนักเตะมาเสริมทัพทั้งหมดราว 2.1 พันล้านปอนด์ (9.1 หมื่นล้านบาท) ขายออก 1.1 พันล้านปอนด์ (4.7 หมื่นล้านบาท) คว้าแชมป์ทั้งหมด 21 โทรฟี่ แบ่งเป็น

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 5 สมัย ในฤดูกาล 2004-05, 2005-2006, 2009- 10, 2014-15 และ 2016-17
เอฟเอ คัพ 5 สมัย ในฤดูกาล 2006-07, 2008-09, 2009- 10, 2011-12 และ 2017-18
ลีกคัพ (คาราบาว คัพในปัจจุบัน) 3 สมัย ในฤดูกาล 2004-05, 2006-07 และ 2014-15
คอมมูนิติตี้ ชิลด์ 2 สมัย ในปี 2005 และ 2009
ยูฟ่า แชม เปี้ยนส์ลีก 2 สมัย ฤดูกาล 2011-12 และ 2020-2021
ยูโรป้า ลีก 2 สมัย ฤดูกาล 2012-13 และ 2018-2019
ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 1 สมัย ในปี 2021
ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย ในปี 2022

หากนับเฉพาะช่วงเวลา ที่เสี่ยหมีเข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร ไม่มีทีมไหนบนเกาะอังกฤษคว้าแชมป์ได้มากไปกว่าเชลซีอีกแล้ว

นอกจากนี้ อับราโมวิช ยังได้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลสร้าง ศูนย์ฝึกค็อบแฮม ที่ได้การยอมรับว่าเป็น 1 ใน 10 สนามซ้อมที่ดีสุดของโลก เพื่อหวังสร้างอนาคตของสโมสรจากการปั้นดาวรุ่ง ในทีมอคาเดมี ปัจจุบันก็ได้เห็นกันไปหลายคน

นักเตะชุดปัจจุบันที่ยังรับใช้ทีม มีทั้ง เมสัน เมาท์, รีซ เจมส์, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย, เทรโวห์ ชาโลบาห์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่ต่อคิวรอโอกาสอยู่

หลังจากที่อับราโมวิชได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เริ่มมีข่าวเรื่องการขายสโมสรออกมาเรื่อยๆ และมี มหาเศรษฐีระดับโลกที่แสดงความสนใจจะเทกโอเวอร์เชลซีแล้ว

คอนเนอร์ แม็คเกรเกอร์ นักสู้ชื่อดังในเวทียูเอฟซี แสดงความสนใจอย่างออกหน้าออกตาผ่านทางโลกโซเชียล หลังจากมีใครคนหนึ่งถามเขาว่าสนใจจะซื้อเชลซีหรือไม่

แม็คเกรเกอร์ตอบสั้นๆ ว่า “กำลังพิจารณาอยู่” จนมีภาพข้อความที่สนทนากันออกมาให้เห็นในทวิตเตอร์

เจ้าชายอัลวาลีด บิน ทาลาล อัล ซาอุด แห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะครอบครองเชลซีเช่นกัน จากการประเมินทรัพย์สินของเจ้าชายอัลวาลีดมีมูลค่ารวมกันราว 18,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (617,000 ล้านบาท)

โดยเป็นเจ้าของบริษัท คิงดอม โฮลดิ้ง คอมปานี ซึ่งถือหุ้นในธุรกิจหลากหลาย ทั้งโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ เจ้าชายยังมีหุ้นใน ซิตี้ กรุ๊ป

รวมทั้ง ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ท็อดด์ โบเอห์ลี่ นักลงทุนชาวอเมริกันที่ถือหุ้นของแอลเอ เลเกอร์ส ทีมบาสเกตบอลชื่อดังในเอ็นบีเอ รวมทั้ง ฮันยอร์ก ไวส์ นักธุรกิจชาวสวิส ก็มีข่าวว่าสนใจเช่นกัน

นับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงที่แฟนบอลเชลซีกังวลเหลือเกินว่า การปล่อยสโมสรออกจากมือของเสี่ยหมีจะส่งผลกระทบต่อจิตใจนักเตะขนาดไหน

เชลซีจะยังคงเป็นทีมหัวแถวของยุโรปได้อย่างทุกวันนี้ได้ต่อไปหรือไม่ หรือต้องกลับไปรอคอยความสำเร็จเหมือนในอดีต เจ้าของใหม่ของเชลซีอาจจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่ารักและทุ่มเทให้สโมสรได้เหมือนที่โรมัน อับราโมวิช เคยทำไว้ได้หรือไม่

เพราะที่ผ่านมาถูกแฟนบอลยกย่องแล้วว่าเป็นเจ้าของสโมสรที่ดีที่สุดตลอดกาล เพราะความทุ่มเท ความสำเร็จที่สร้างให้เห็น

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เม็ดเงินที่เสี่ยหมีสัญญาว่าจะนำไปช่วยเหลือเหยื่อสงครามที่ยูเครน จะสร้างประโยชน์และปลอบประโลมความสูญเสียครั้งนี้ได้ขนาดไหน

เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบในทุก คำถามได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image