จับสถานการณ์ โค้งสุดท้าย ‘เอฟวัน’ ฤดูกาล 2016

ลูอิส แฮมิลตัน (ซ้าย) และนิโก้ รอสเบิร์ก

การแข่งขัน ฟอร์มูล่า 1 ฤดูกาลนี้ ถือเป็นฤดูกาลที่สถานการณ์การลุ้นแชมป์ดุเดือดเข้มข้นที่สุดในรอบหลายปีให้หลัง เพราะแม้ เมอร์เซเดส ที่ผูกขาดตำแหน่งแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตในปี 2014 และ 2015 จะยังคงไร้เทียมทานในปีนี้ แต่การขับเคี่ยวของ 2 นักขับของทีม คือ นิโก้ รอสเบิร์ก และ ลูอิส แฮมิลตัน ถือเป็นไฮไลต์ที่ทำให้แฟนๆ ได้ตื่นเต้นขึ้นมา

สถานการณ์ปัจจุบันหลังผ่านไป 20 สนาม รอสเบิร์ก นักซิ่งชาวเยอรมันซึ่งยังไม่เคยมีประสบการณ์คว้าแชมป์โลกมาก่อน นำคะแนนสะสมประเภทนักขับที่ 367 คะแนน จากผลงานการคว้าแชมป์ 9 สนาม ตามด้วยแฮมิลตัน อดีตแชมป์โลก 3 สมัยชาวอังกฤษ ซึ่งมี 355 คะแนน หลังคว้าแชมป์สนามล่าสุดในรายการ บราซิเลียน กรังด์ปรีซ์ ที่ประเทศบราซิล เป็นแชมป์สนามที่ 9 ของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ และเป็นแชมป์ 3 สนามติดต่อกัน

Abu Dhabi F1 Grand Prix

ในทางทฤษฎี ถือว่าทั้งคู่ยังมีสิทธิลุ้นแชมป์โลก เนื่องจากเหลือการแข่งขันอีก 1 สนามที่อาบูดาบี มีคะแนนสะสมสำหรับแชมป์ 25 คะแนนเต็มให้เก็บ อย่างไรก็ตาม ถือว่ารอสเบิร์กได้เปรียบอยู่มาก เพราะถึงแม้จะมีหลายเงื่อนไขให้แฮมิลตันได้ลุ้นแชมป์ แต่ขอเพียงรอสเบิร์กได้ขึ้นโพเดียม ไม่ว่าจะอันดับใดก็จะคว้าแชมป์ไปครองทันที

Advertisement

เนื่องจากปัจจุบัน ทั้งคู่มีคะแนนห่างกัน 12 คะแนน หากแฮมิลตันได้แชมป์จะมีคะแนนสะสม 380 คะแนน รอสเบิร์กต้องได้อันดับ 3 เป็นอย่างน้อย เพื่อคะแนนสะสม 382 คะแนน

กรณีแฮมิลตันเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 2 รอสเบิร์กต้องได้อันดับ 6 เป็นอย่างน้อย หรือถ้าแฮมิลตันคว้าอันดับ 3 รอสเบิร์กก็สามารถประคองตัวสบายๆ เข้าเส้นชัย 1 ใน 8 คันแรกก็เพียงพอ

โอกาสที่รอสเบิร์กจะหลุดจากโพเดียมนั้นเป็นไปได้ยากเต็มที เนื่องจากเครื่องของเมอร์เซเดสเหนือกว่าทีมอื่นๆ อย่างชัดเจน และ 2-3 สนามที่ผ่านมา เขาก็เน้นขับแบบปลอดภัยไว้ก่อน ไม่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น ประคองตัวตามแฮมิลตันเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1-2 ไม่ให้คะแนนทิ้งห่างไปมาก

Advertisement

กลายเป็นว่าความเป็นไปได้มากที่สุดที่อดีตแชมป์โลก 3 สมัยของเมืองผู้ดีจะได้เฮเป็นรอบที่ 4 อาจเป็นการคว้าแชมป์ที่อาบูดาบี แล้วลุ้นให้รอสเบิร์กแข่งไม่จบด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง

เหมือนกับที่เขาเคยเจอฝันร้ายในการแข่งขัน มาเลเซียน กรังด์ปรีซ์ ที่เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย เมื่อต้นเดือนตุลาคม ซึ่งจู่ๆ เครื่องยนต์ของแฮมิลตันก็ไฟลุกจนต้องออกจากการแข่งขันทั้งที่นำเป็นอันดับ 1

ช่วงต้นฤดูกาล รถของนักซิ่งวัย 31 ปี ก็เคยมีปัญหาระหว่างแข่งขันรอบคัดเลือกที่จีนกับรัสเซียจนทำแต้มหลุดมือไปไม่น้อย

พอเครื่องยนต์มีปัญหาจนต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ ก็กลายเป็นว่าเขากับทีมงานทำผิดกฎเรื่องจำกัดจำนวนเครื่องยนต์ที่ใช้ได้ต่อฤดูกาล ส่งผลให้แฮมิลตันโดนปรับกริดสตาร์ตไปออกจากตำแหน่งบ๊วยในศึกเบลเยียม กรังด์ปรีซ์ จนต้องไล่ทำอันดับมาจนจบที่ 3

สถานการณ์และความโชคร้ายหลายๆ อย่างข้างต้น ทำเอานักซิ่งดังถึงกับออกมาประกาศผ่านสื่อแบบหัวเสียว่า “ใครบางคนเบื้องบน” ไม่ต้องการให้เขาเป็นแชมป์โลกในปีนี้ คล้ายจะบอกเป็นนัยๆ ว่า การที่รถของตัวเองพังอย่างเหลือเชื่อระหว่างแข่งที่มาเลเซียเป็นเพราะผู้มีอิทธิพลในวงการรถสูตรหนึ่งอยากให้ตำแหน่งแชมป์โลกเอฟวันเปลี่ยนมือบ้างนั่นเอง

ถือเป็นการกล่าวหาลอยๆ ที่หายไปกับกาลเวลา และไม่มีใครไปคะยั้นคะยอเอากับแฮมิลตันว่า ใครบางคนที่ว่านั้นคือใครกันแน่?

ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงสนามสุดท้าย แฮมิลตันซึ่งยังไม่ถอดใจก็เลยปรารภเป็นเชิงทำสงครามจิตวิทยาว่า ยังเชื่อในกฎของธรรมชาติ ว่าทุกคนมีสิทธิเจอโชคร้ายอย่างเท่าเทียม เพราะปีนี้รอสเบิร์กยังไม่มีปัญหาใดๆ เกี่ยวกับเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้น จู่ๆ เครื่องของเขาอาจมีปัญหาจนแข่งไม่จบที่อาบูดาบีก็ได้!

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางส่วนก็มองว่า ตัวแฮมิลตันเองก็ทำเสียเรื่องอยู่หลายครั้งจนไม่น่าให้อภัยตัวเองเช่นกัน เช่นในการแข่งขันที่ออสเตรเลีย, บาห์เรน และอิตาลี ทั้งที่ได้ออกสตาร์ตในตำแหน่งโพลโพสิชั่น หรือกริดแรกสุด แต่สุดท้ายกลับโดนคนอื่นแซง ปล่อยแชมป์หลุดมือไปเอง จะไปโทษ “เบื้องบน” อย่างเดียวคงไม่ได้

สนามสุดท้ายที่อาบูดาบีจะตัดสินแชมป์
สนามสุดท้ายที่อาบูดาบีจะตัดสินแชมป์

สำหรับสนามสุดท้ายในรายการ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ ช่วงสุดสัปดาห์นี้ แข่งขันกันมาเป็นครั้งที่ 8 หลังจากเริ่มต้นจัดครั้งแรกเมื่อปี 2009 แฮมิลตันเป็นแชมป์ปี 2014 และรองแชมป์ปีที่แล้ว ขณะที่แชมป์เก่าคือรอสเบิร์ก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เมื่อปีกลายกับตอนนี้ถือว่าแตกต่างกัน เนื่องจากปีที่แล้ว แฮมิลตันการันตีตำแหน่งแชมป์โลกขณะเหลืออีกหลายสนาม จึงขับแบบผ่อนๆ เข้าเส้นชัย ไม่ได้จริงจังกับการไล่ล่าตำแหน่งแชมป์นัก

และถ้าไล่เรียงกันจริงๆ สนามสุดท้ายที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แห่งนี้ก็เคยมี “ดราม่า” เรื่องตัดสินแชมป์เกิดขึ้นมาแล้ว

ย้อนไปในปี 2010 สถานการณ์การแข่งขันเป็นไปอย่างตื่นเต้นสูสี ผู้นำคะแนนสะสมคือ เฟร์นานโด อลอนโซ่ สมัยขับให้เฟอร์รารี่ ตามด้วย มาร์ก เว็บเบอร์ และ เซบาสเตียน เว็ตเทล สองนักแข่งเรดบูล

ปรากฏว่าเฟอร์รารี่วางแผนรับมือเว็บเบอร์ที่มีคะแนนไล่ตามอลอนโซ่ใกล้กว่า จนไม่ทันระวังเว็ตเทลซึ่งคว้าแชมป์สนามนั้นไปครอง ขณะที่อลอนโซ่กับเว็บเบอร์จบแค่อันดับ 7 และ 8 ตามลำดับ สุดท้ายเลยกลายเป็นนักซิ่งหนุ่มชาวเยอรมันที่แรงขึ้นคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 จาก 4 สมัยของตัวเองในที่สุด

ปีนี้สถานการณ์ของ 2 นักขับเมอร์เซเดสต่างจากปีนั้นเพราะไม่ได้มีคู่แข่งแย่งแชมป์มากถึง 3 คน แถมยังเป็นนักขับของทีมเดียวกัน เมอร์เซเดสจึงยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องแผนการขับมากไม่ได้ (เนื่องจากการันตีแชมป์ประเภทผู้ผลิตไปนานมากแล้ว)

ว่ากันตามฟอร์มและศักยภาพของเครื่องยนต์ อย่างไรเสีย รอสเบิร์กก็ไม่น่าจะพลาดหลุดจากอันดับ 1-3 ซึ่งจะการันตีแชมป์โลกสมัยแรกของเขาได้ แต่แฮมิลตันก็ยังยืนยันจะสู้ให้ถึงที่สุด เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ไม่ใช่แค่แฮมิลตันเท่านั้นที่รู้สึกว่าสู้แบบความหวังริบหรี่ แม้แต่เพื่อนร่วมวงการที่มองจากมุมคนนอกก็ยังยอมรับว่า สถานการณ์ของอดีตแชมป์โลก 3 สมัยน่าหนักใจมาก

คริสเตียน ฮอร์เนอร์ ทีมบอสของเรดบูลซึ่งทำผลงานได้ดีในปีนี้ กล่าวว่า แฮมิลตันคงรักเรดบูลขึ้นมาอีกเป็นกอง ถ้า 2 นักขับของทีมคือ ดาเนียล ริคชาร์โด้ กับ มักซ์ แวร์สตัปเปน แซงนำรอสเบิร์กได้

ขณะที่ เจนสัน บัตตัน อดีตแชมป์โลกของแม็คลาเรน ยิงมุขตลกร้ายว่า โอกาสเดียวที่แฮมิลตันจะคว้าแชมป์ได้ คงต้องจ้างนักขับคนไหนสักคนของทีมอื่นให้ช่วยขับรถชนรอสเบิร์กจนต้องออกจากการแข่งขัน

นั่นต่างหากที่จะดูเป็นไปได้มากที่สุด!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image