อันโตนิโอ คอนเต้ กับ 4 ปัจจัยปลุกผี ‘สิงห์บลู’

อันโตนิโอ คอนเต้ (ภาพ AFP)

สถานการณ์ของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ณ เวลานี้ อาจจะยังเร็วเกินกว่าจะฟันธงได้ว่าทีมใดจะไปถึงตำแหน่งแชมป์ แต่เมื่อผ่านไป 13 นัด หรือราว 1 ใน 3 ของฤดูกาล ก็เริ่มจะเห็นอะไรเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ที่มีกุนซือระดับ “บิ๊กเนม” กุมบังเหียน ต่างก็ยึดตำแหน่งท็อปโฟร์ได้อย่างครบครัน จะมีก็แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โจเซ่ มูรินโญ่ ที่โดน ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ คั่นกลางให้ห่างจากอีก 4 ทีมใหญ่ไปเล็กน้อย

ในจำนวนทีมเด่นกุนซือดังเหล่านี้ ที่โดดเด่นขึ้นมามากที่สุดในช่วงนี้คงต้องยกให้ เชลซี ของผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียน อันโตนิโอ คอนเต้ ซึ่งนำหัวตารางด้วยผลงาน 31 คะแนน จาก 13 นัด

แม้จะโดนทั้ง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หายใจรดต้นคอด้วยระยะห่างเพียงแต้มเดียว แต่ชัยชนะเหนือสเปอร์ส 2-1 ในเกมสำคัญที่สแตมฟอร์ดบริดจ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ทำให้กูรูลูกหนังหลายคนมองว่า ทีมสิงห์บลูในเวลานี้พลิกโฉมจากทีมที่น่าผิดหวังเมื่อฤดูกาลก่อนไปอย่างสิ้นเชิง และอยู่ในสถานะทีมลุ้นแชมป์ที่ใครก็มองข้ามไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตัวสอดแทรกอย่างที่หลายคนคาดช่วงต้นฤดูกาลอีกต่อไป

Advertisement

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ต้องยกเครดิตสำคัญให้คอนเต้ซึ่งใช้เวลาไม่กี่เดือนปลุกผีเชลซีขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง โดยนักวิเคราะห์ได้มองปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่ช่วยให้ทีมมาถึงจุดนี้ได้ ดังนี้

 

FBL-ENG-PR-CHELSEA-TOTTENHAM
ภาพ AFP

คุมอารมณ์ให้อยู่

ปกติคอนเต้เป็นคนมีอารมณ์ร่วมกับเกมการแข่งขันสูง เรียกว่าลีลาข้างสนามเป็นสีสันไม่แพ้กุนซือขาร็อกอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ของหงส์แดงเลย

และคอนเต้ก็รู้จักที่จะใช้ “แพชชั่น” ของตัวเองกระตุ้นลูกทีมหรือคุมสถานการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ โดยไม่แสดงออกมากหรือน้อยจนเกินไป

เช่นตอนออกลีลากระตุ้นทีมช่วงครึ่งแรกหลังจากโดนนำไปก่อน หรือตอนเข้าไปโวยผู้ตัดสินที่ 4 หลังจากกรรมการไม่ยอมเป่าแฮนด์บอล แฮร์รี่ เคน กองหน้าของสเปอร์ส

ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ผู้รักษาประตูของเชลซี บอกว่า ลีลาและอารมณ์ของคอนเต้ที่เห็นกันในสนามนั้นไม่ได้เกิดขึ้นแค่ช่วงแข่งขันเพียงอย่างเดียว เพราะโค้ชชาวอิตาเลียนแสดงออกอย่างนั้นทุกครั้งทุกเวลาที่ทีมลงฝึกซ้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะช่วยให้นักเตะมุ่งมั่นและมีสมาธิกับสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่

 

ภาพ Reuters
ภาพ Reuters

จริงจังและถ่อมตน

สื่ออิตาเลียนบางส่วนตั้งฉายาให้คอนเต้สมัยคุมทีม ยูเวนตุส ว่า “เดอะ แฮมเมอร์” (ค้อน) เพราะเป็นโค้ชที่จริงจังกับงานของตัวเองมาก และพยายามจะเรียกร้องกึ่งๆ กดดันให้นักเตะดึงศักยภาพออกมาให้เต็มที่

บ่อยครั้งมักมีเรื่องเล่าว่า เขาจะโทรศัพท์หาลูกทีมตอน 5 ทุ่ม เพื่ออัพเดตเรื่องการซ้อมหรือเปลี่ยนแปลงโปรแกรมต่างๆ แบบไม่รอให้ข้ามวันไปก่อน ไหนจะสร้างกฎกติกาและหลักปฏิบัติตัวสำหรับลูกทีมในหลายๆ เรื่อง (เช่นอาหารการกิน) เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าลีลาข้างสนามจะดูดุดันและเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมขนาดไหน แต่พอจบเกมและต้องนั่งตอบคำถามนักข่าว กุนซือวัย 47 ปี จะมีบุคลิกนิ่งขรึม ให้สัมภาษณ์อย่างใจเย็นและคิดให้รอบด้าน

คอนเต้ย้ำกับสื่อหลังทวงตำแหน่งจ่าฝูงคืนมาได้อีกครั้งว่า สิ่งสำคัญคือการทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ พัฒนาฟอร์มการเล่น และไม่เหลิงไปกับสถานการณ์ปัจจุบัน

โดยคาดว่าเขาจะย้ำเรื่องนี้กับลูกทีมมากเป็นพิเศษ ก่อนถึงแมตช์สำคัญเยือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้

 

FBL-ENG-PR-MIDDLESBROUGH-CHELSEA
ภาพ AFP


คุมนักเตะอยู่

สำนักข่าว บีบีซี บอกว่า ในบรรดา 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก กลุ่มนักเตะเชลซีถือเป็นผู้เล่นที่มี “เพาเวอร์” หรือความสามารถในการแข็งข้อกับสต๊าฟโค้ชมากที่สุดทีมหนึ่ง จนนำไปสู่การ “เล่นไล่โค้ช” ให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ (อย่างกรณีฟอร์มตกยุคมูรินโญ่เมื่อฤดูกาลก่อน)

แต่คอนเต้ในตอนนี้สามารถคุมบรรยากาศในห้องแต่งตัวของสิงห์บลูได้อยู่หมัด สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวภายในทีม

ตัวอย่างชัดเจนที่สื่ออ้างถึงคือการจับ จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมผู้เป็นศูนย์รวมใจของนักเตะและแฟนๆ มายาวนานเป็นตัวสำรอง เนื่องด้วยคอนเต้ชอบระบบกองหลัง 3 ตัวมากกว่า ประกอบกับเทอร์รี่ไม่สามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงมาได้ตั้งแต่มีปัญหาบาดเจ็บ

กระนั้น “เจที” ก็ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ซ้ำยังคุยให้อดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง วิลเลียม กัลลาส ฟังว่า ถึงตัวเองจะไม่ได้ลงสนามก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่ทีมยังคว้าชัยชนะ เสียประตูน้อยๆ และมีลุ้นแชมป์ลีก

พอซื้อใจนักเตะได้และมอบโอกาสเพื่อสร้างความเชื่อมั่น หลายคนก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นกำลังให้ทีม อาทิ เปโดร, วิคเตอร์ โมเสส และเหนืออื่นใดคือ ดีเอโก้ คอสต้า ดาวยิงชาวสเปนที่เหมือนได้คืนชีพอีกครั้ง

 

ภาพ Reuters
ภาพ Reuters

ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง

ช่วงต้นฤดูกาล หลายคนกาชื่อเชลซีทิ้งจากสารบบลุ้นแชมป์หลังจากทีมปราชัยให้หงส์แดงคาบ้าน 1-2 ซ้ำยังบุกแพ้ อาร์เซน่อล 0-3 จนร่วงไปอันดับ 10 มีแต้มตามหลังจ่าฝูง เรือใบสีฟ้าถึง 8 คะแนน

แต่ความพ่ายแพ้ให้เกมสำคัญไม่ได้ทำให้คอนเต้ท้อ ยังคงยึดมั่นในแผนการเล่นและระบบที่ตัวเองคิดว่ามีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการวางตำแหน่งกองหลัง 3 ตัวอย่าง ดาวิด ลุยซ์, แกรี่ เคฮิลล์ และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เหมือนสมัยใช้งาน อันเดรีย บาร์ซายี, จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และ เลโอนาร์โด โบนุชชี่ เป็นแนวรับ 3 ประสานของยูเว่และทีมชาติอิตาลี

ผลจากการยึดมั่นในแผนของตัวเอง นำไปสู่การคว้าชัยชนะในเกมลีก 7 นัดติด และเสียเพียงประตูเดียวย้อนไปตั้งแต่ตอนแพ้ปืนใหญ่เมื่อเดือนกันยายน

ทั้งที่ทีมมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลน้อยลง (ปัจจุบัน 52.79 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับสถิติ 56.88 เปอร์เซ็นต์ก่อนหน้านั้น) อีกทั้งสถิติพยายามยิงประตูเฉลี่ยก็ลดลง (จากตอนแมตช์กับอาร์เซน่อล 16.7 ครั้ง เหลือ 15.4 ครั้งในปัจจุบัน)

แต่แม้สถิติต่างๆ จะลดต่ำลง เชลซีก็เล่นกันอย่างทุ่มเทและเป็นระบบ แต่ละช็อตแต่ละลูกหวังผลได้

ถือเป็นการทดแทนที่คุ้มค่าและทำให้บรรดาเกจิต้องหันมายกพวกเขาเป็นตัวเต็งอีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image