‘ช้างศึก’ลั่นเห็นจุดอ่อนบดแข้ง’อิเหนา’ ‘ซิโก้’สั่งปิดตายริมเส้น-เจ้าถิ่นยก’ไอดอลอาเซียน’

ทัพนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย มีโปรแกรมทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2016” รอบชิงชนะเลิศ นัดแรก บุกเยือน “อิเหนา” อินโดนีเซีย ที่ปากันซารี สเตเดียม เมืองโบกอร์ วันที่ 14 ธันวาคม เวลา 19.00น. ช่อง 7 และฟ็อกซ์สปอร์ตถ่ายทอดสด ก่อนที่นัดสองจะกลับมาแข่งขันที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 17 ธันวาคม เวลา 19.00 น.

ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชทีมชาติไทย นำนักเตะฝึกซ้อมเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินทางมาถึงอินโดนีเซีย ที่สนามเซโกลาห์ เปลิตา ฮาราพาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักโรงแรม แอชตัน เซลตัล เลค รีสอร์ท

15356703_1628150834161142_6527061079914524548_n

โค้ชซิโก้ เปิดเผยว่า เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ไม่ได้มาอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งบรรยากาศก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก รู้สึกประทับใจทันทีที่มาถึงอินโดนีเซียก็มีแฟนบอลเจ้าถิ่นเข้ามาขอลายเซ็น และถ่ายรูปกับนักเตะไทย รวมถึงตัวเองจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่าเขาติดตามผลงานทีมไทยโดยตลอด และยกให้เป็นไอดอลของฟุตบอลอาเซียน ดังนั้นจะต้องโชว์ความเป็นมืออาชีพให้พวกเขาได้เห็น ส่วนเรื่องสภาพอากาศที่คาดว่าจะมีฝนตกนั้น ไม่ได้กังวล เพราะนักเตะไทยมีความเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ทั้งรองเท้าและอุปกรณ์ต่างๆ ก็พร้อม

Advertisement

กุนซือไทยกล่าวว่า อินโดนีเซียมีจุดแข็งในเกมรุกริมเส้นซ้ายขวา โดยเฉพาะเบอร์ 7 (โบอัซ โซลอสซ่า) และเบอร์ 8 (สเตฟาโน่ ลิลิพาลี่) จึงจำเป็นจะต้องสกัดกั้นไม่ให้เขาครอสลูกจากด้านข้างให้ได้ รวมทั้งเขายังมีกองหลังสูงใหญ่ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังพอเห็นจุดด้อยที่เขามักจะออกอาการล้าช่วงท้ายเกม เพราะอินโดนีเซียกรำศึกหนักมา 120 นาทีในรอบรองชนะเลิศ น่าจะส่งผลเรื่องสภาพร่างกายด้วย อีกทั้งกองกลางทัพอิเหนาชุดนี้มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย ที่ผ่านมา 11 ผู้เล่นคนแรกไม่ค่อยซ้ำหน้ากัน จึงเชื่อว่าทีมของเขายังไม่ค่อยลงตัว และจะแตกต่างจากทีมไทย

โค้ชซิโก้กล่าวอีกว่า ส่วนนักเตะไทยทุกคนน่าจะสมบูรณ์เต็มที่เมื่อถึงวันแข่งขันจริง ซึ่ง “ตั้ม” ธนบูรณ์เกษารัตน์ กองหลังที่บาดเจ็บข้อเท้านั้นก็มีอาการดีขึ้นมาก การแยกซ้อมก่อนหน้านี้เป็นเพียงการป้องกันเจ็บเพิ่มเท่านั้น ทั้งนี้ ให้ความสำคัญกับเกมนี้ และต้องการชัยชนะ เพื่องานที่เหลือในบ้านจะได้ง่ายขึ้น

15380761_1628150950827797_1861272746909189609_n

สำหรับนักเตะไทย 11 คนแรกที่คาดว่าจะลงสนามในระบบ 3-5-2 ดังนี้ ผู้รักษาประตู กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กองหลัง ประทุม ชูทอง, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, กรวิทย์ นามวิเศษ กองกลาง ธีราธร บุญมาทันม สารัช อยู่เย็น, ปกเกล้า อนันต์, ทริสตอง โด, “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองหน้า “ปีโป้” สิโรจน์ ฉัตรทอง และ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ดาวซัลโวที่ยิงไปแล้ว 5 ประตู

ขณะที่อินโดนีเซียภายใต้การคุมทีมของ อัลเฟรด รีเดิล กุนซือชาวออสเตรีย คาดว่าจะยึด 11 ตัวหลักชุดเดิม แต่จะขยับ มาฮานาติ เลสตูเซน จากมิดฟิลด์ตัวรับมายืนเป็นกองหลัง 3 คนร่วมกับ ฟารุดดิน อาร์ยานโต้ และฮันซามู ปรานาตา พร้อมขยับแบ็กซ้าย-ขวาอย่าง อับดุล เลสตาลูอู และเบนนี วะห์ยูดี ขึ้นไปยืนริมเส้น สเตฟาโน่ ลิลิพาลี่้ ถูกดึงลงมาเล่นมิดฟิลด์คู่กลางกับ บายู ปราดานา ส่วนแดนหน้ามี ริซกี้ โปรา และอันดิค เวอร์มันซาห์ คอยช่วย โบอัซ โซลอสซ่า ที่ยืนศูนย์หน้าตัวเป้าในระบบ 3-4-2-1

ด้านสถิติที่ทีมไทยเคยพบอินโดนีเซียมาทั้งหมด 75 ครั้ง ไทย ชนะ 36 ครั้ง เสมอ 14 ครั้ง แพ้ 25 ครั้ง ยิงได้ 133 ประตู และเสีย 84 ประตู ขณะที่ในศึกอาเซียนเจอกัน 8 ครั้ง ไทยชนะ 6 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง แพ้ 1 ครั้ง ยิงได้ 21 ประตู และเสีย 10 ประตู โดยครั้งเดียวที่ทีมไทยแพ้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2010 ไทยพ่าย 1-2 ส่งผลให้ตกรอบแรกด้วย ส่วนครั้งล่าสุดเพิ่งเจอกันในรอบแรก ทีมไทยชนะ 4-2 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา

15355696_1628150864161139_6540519671625128223_n

15541604_1628150970827795_8860774485990149279_n

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image