เปิดใจ “สกล วรรณพงษ์” โค้งสุดท้ายภารกิจเพื่อกีฬา

เมื่อก่อน การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณปีละแค่ 2-3 พันล้านบาท เดี๋ยวนี้ได้อานิสงส์จากการเรียกเก็บสินค้าในกลุ่มสุราและยาสูบ ของกรมสรรพสามิต หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีบาป” ปีๆ หนึ่งมีงบประมาณต้องคืนกลับสู่วงการกีฬา ปีละประมาณ 3.7 พันล้านบาท โดยงบประมาณก้อนดังกล่าวจะถูกจัดสรรเข้าในงบประมาณแต่ละปีๆ ของ กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ขณะที่อีกส่วนงบประมาณประจำปีของ กกท. ได้รับจัดสรรค่อนข้างคล่องตัวขึ้น เฉลี่ยแล้วปีๆ นึง กกท.มีงบประมาณไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาทในการพัฒนาวงการกีฬาของเมืองไทย

“บิ๊กเสือ” สกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการ กกท.ในยุคนี้ถือว่าโชคดีที่ได้เข้ามาเป็นผู้นำองค์กรสูงสุดด้านกีฬาในยุคที่งบประมาณเหลือเฟือ แต่ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ปีแรกของการได้รับงบอุดหนุนจากภาษีบาปสู่วงการกีฬาอาจจะยังใช้งบประมาณในการพัฒนาแบบไม่ถูกจุด แต่อาจถูกใจสมาคมกีฬาต่างๆ

ที่ว่าไม่ถูกจุดเพราะหากมองในเรื่องของการพัฒนากีฬาที่ยั่งยืนถาวรของวงการกีฬาไทยแล้ว ต้องหันกลับมามองว่าประเทศไทย วงการกีฬาของไทยยังขาดอะไรที่ประเทศชั้นนำของโลกในด้านกีฬาไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา, จีน, เยอรมนี, ญี่ปุ่น ฯลฯ เขามีกัน

สิ่งที่นึกออกและเห็นภาพได้ทันทีนั่นคือ ศูนย์ฝึกกีฬาและวิทยาศาสตร์การกีฬาแบบครบวงจรชนิดได้มาตรฐานระดับโลก ย้ำนะว่าได้มาตรฐานระดับโลก เพื่อเป็นสถานที่ในการฝึกซ้อม เก็บตัวของนักกีฬาทุกชนิด มีห้องทดสอบแรงดันอากาศซึ่งเป็นเรื่องของเทคนิคด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเหมือน “ศูนย์ฝึกซ้อมนักกีฬาทีมชาติญี่ปุ่น” หรือ “JISS” ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการกีฬาต่างเดินทางไปดูงานถึงกรุงโตเกียวมาแล้วนับไม่ถ้วน

Advertisement

แต่ทำไมประเทศไทยถึงยังไม่มีสถานที่พวกนี้ ทั้งที่ศักยภาพสามารถทำได้เพราะมันคือประโยชน์อันสูงสุดของวงการกีฬาเมืองไทยในระยะยาว

“บิ๊กเสือ” สกล วรรณพงษ์ นายใหญ่แห่งค่ายหัวหมาก บอกว่า กกท.ต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงๆ จังๆ แล้ว ผมเคยไปดูงานที่ JISS มาแล้ว และผมต้องการผลักดันให้ กกท.ในยุคนี้ดำเนินการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ โดยใช้ชื่อว่า “เนชั่นแนล เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์” หรือ “NTC” ซึ่งวางแบบไว้คือ ตั้งกลางหัวหมาก เป็นสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อมของนักกีฬาหลายๆ ชนิดกีฬา มีห้องพัก มีห้องวิทยาศาสตร์การกีฬาครบวงจร โดยผมคิดว่าต้องใช้งบประมาณในการทำประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาท ซึ่งผมได้ทำแผนขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐในหมวดงบประจำปีของ กกท.ในปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการพิจารณา แต่ผมไม่ท้อ ผมจะพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ อาจจะต้องใช้วิธีขอผูกพันปีงบประมาณในการก่อสร้าง ซึ่งงบประมาณปีหน้าของ กกท.ผมจะใส่ไว้ในแผนเหมือนเดิมเพราะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการกีฬา

KHpxVd

Advertisement

สกล วรรณพงษ์ บอกต่อว่า ตามต่างจังหวัดทั่วทุกจังหวัด ทุกภูมิภาคก็เช่นกัน ผมต้องการให้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกกีฬาแบบครบวงจรให้ได้ บางแห่งมีสถานที่อยู่แล้ว เราแค่เข้าไปช่วยยกระดับความเข้มข้น รวมถึงเรื่องอุปกรณ์กีฬา และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ หากอนาคตเราทำได้สำเร็จอย่างที่วางแผนไว้จริง เราจะมีนักกีฬาจากท้องถิ่นให้สมาคมกีฬามาหยิบสอยไปต่อยอดแบบเหลือเฟือ และมีคุณภาพอีกต่างหาก ผมจะพยายามทำให้เกิดขึ้นให้ได้ก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการ ถ้าผมจะแบ่งสัดส่วนของเงินจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติมาใช้ในการก่อสร้างดังกล่าวคงต้องหารือปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ก่อนว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่

“บิ๊กเสือ” บอกต่อไปว่า ผมเหลือเวลาในการทำหน้าที่ผู้ว่าการ กกท.อีกประมาณ 1 ปีครึ่ง โดยผมจะเกษียณอายุราชการในเดือนมิถุนายนปี พ.ศ.2561 ที่ผ่านมาผมทำหน้าที่มา 2 ปี ก็รู้สึกพอใจในการทำงาน และมีความสุขในหลายๆ เรื่องของวงการกีฬา งานในหลายๆ ภารกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี อย่างน้อยๆ คนใน กกท.ก็เดินหน้าทำงานกันอย่างแข็งขัน มีกำลังใจดี ผมต้องการทำให้พนักงานใน กกท.แข็งแกร่งเพื่ออนาคต คติในการทำงานผมยึดมาเสมอ ทำงานลูกเดียว ไม่บ่น เข้าใจ เข้าถึง ไม่ยืดเยื้อ กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ ที่ผ่านมาผมพยายามแก้ปัญหาสมาคมกีฬาหลายๆ สมาคมที่มีปัญหาเรื่องการเลือกตั้ง ผมก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ ผมทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนเรื่องของโครงการที่ผมทำแล้วและต้องการสานต่อให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมคือ ฟุตบอลลีกเยาวชน และมวยไทยลีก อย่างเรื่องของฟุตบอล

ถ้าอนาคตลีกเยาวชนแข็งแกร่ง เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา วงการฟุตบอลไทยจะไปได้ไกลกว่านี้อีก ส่วนเรื่องของมวยไทยลีก ต้องการให้คนที่ต่อยมวยในต่างจังหวัดสามารถมีรายได้เลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัว ตามสโลแกน “ต่อยมวยก็รวยได้”

นายใหญ่ค่ายหัวหมาก เล่าต่อไปว่า ยังมีอีกหลายภารกิจที่ยังต้องการจะทำให้สำเร็จในช่วงระยะเวลาที่เหลือในการทำหน้าที่ 1 ปีครึ่งคือ ต้องการดึงรายการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบระดับโลกอย่าง “โมโตจีพี” มาจัดแข่งขันที่เมืองไทยให้ได้ อาจจะเป็นที่ จ.บุรีรัมย์ เพราะมีสถานที่พร้อมอยู่แล้ว ทุกวันนี้เรตติ้งของโมโตจีพีนั้นดีมาก คนดูกันทั่วโลก เรตติ้งดีกว่ารถยนต์สูตร 1 หรือ “เอฟวัน” เสียอีก โดยแผนงานเรื่องเอฟวันในเมืองไทยคงต้องพับไปก่อน หลังทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ยังถอนตัวจัดเอฟวัน ซึ่งผมคิดว่าไทยต้องหันมาสนใจ “โมโตจีพี” ดีกว่า และมีโอกาสเป็นไปได้สูงมาก ล่าสุดผมไปคุยกับเจ้าของลิขสิทธิ์ “โมโตจีพี” มาแล้วด้วย เขายืนยันว่าอยากจะมาจัดที่เมืองไทย ซึ่งผมคิดว่าในปี ค.ศ.2018 ช่วงต้นปีนั้นชัวร์ว่าจะมีการจัด “โมโตจีพี” ที่เมืองไทย แต่ผมอยากจะได้มาจัดก่อนหน้านั้นคือ กลางปี ค.ศ.2017 เลย

อีกเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำคือ ผลักดันให้ลีกฟุตบอลเยาวชนของไทยแข็งแกร่ง โดยจะจัดแข่งขัน 4 รุ่น อายุ 13 ปี, 15 ปี, 17 ปี และ 19 ปี ซึ่งนักเตะต่างจังหวัดจะได้มีเวทีโชว์ฝีเท้าเพื่อเป็นบันไดไปสู่การเล่นฟุตบอลอาชีพในอนาคต

เรื่องสุดท้ายที่ “บิ๊กเสือ” วาดความหวังว่าต้องทำให้ยั่งยืนคือ การนำพาองค์กรกีฬาอย่าง กกท.หัวหมาก เข้มแข็ง พนักงานเข้มแข็ง พร้อมจะเข้ามาสานต่อภารกิจที่ได้วางแนวทางไว้ในระยะยาว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image