การเมือง‘ลูกหนัง’ สมาคมบอลร้อนฉ่า ‘บิ๊กอ๊อด’ ไขก๊อก-ส่อวุ่น

การเมือง‘ลูกหนัง’ สมาคมบอลร้อนฉ่า บิ๊กอ๊อดไขก๊อก-ส่อวุ่น

ประเด็นร้อนแรงของวงการกีฬาเมืองไทยในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหนีไม่พ้นการประกาศลาออกของ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ วัย 68 ปี

เหตุผลที่ “บิ๊กอ๊อด” ลาออกเจ้าตัวระบุว่าเป็นไปตามคำสั่งของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ที่สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร
โอลิมปิคฯ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความล้มเหลวของทีมชาติไทยในศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 32 และเหตุทะเลาะวิวาทรอบชิงชนะเลิศระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย จนอื้อฉาวไปทั่วโลก

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รีไทร์อาชีพราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2558 ก่อนที่เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 มีการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนที่ 17 ปรากฏว่า พล.ต.อ.สมยศ ซึ่งมี เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ให้การสนับสนุนจนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ด้วยคะแนน 62 เสียง จากทั้งหมด 72 เสียง เอาชนะ “หรั่ง” ชาญวิทย์ ผลชีวิน คู่แข่งคนสำคัญที่ได้เพียง 4 เสียง

Advertisement

การมาเป็นแม่ทัพในวงการลูกหนังเมืองไทยของ “บิ๊กอ๊อด” ในช่วงแรกดูเหมือนว่าจะเข้ามาช่วยยกระดับการบริหารจัดการในสมาคมกีฬาฟุตบอลฯให้มีความเป็นสากล และเป็นมืออาชีพเพิ่มมากขึ้นจากยุคก่อนหน้านี้ ทุกอย่างดูชัดเจน มีแบบแผน

แต่เป็นธรรมดาที่ “บิ๊กอ๊อด” จะต้องไล่เช็กบิล “ขั้วอำนาจเก่า” และข้อตกลงในเรื่องของสัญญาหลายๆ เรื่อง หลายๆ กรณีที่เกี่ยวข้องกับ “เงิน” ที่ผูกพันกับ “ขั้วอำนาจเก่า” ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในทุกๆ องค์กรและทุกๆ วงการปฏิบัติกันมา

และนั่นเริ่มเป็นสัญญาณการเกิด “รอยร้าว” ระหว่างขั้วอำนาจใหม่กับขั้วอำนาจเก่า ตั้งแต่แรกเริ่มที่มานั่งเก้าอี้นายกสมาคม กีฬาฯเบอร์ 1 ของเมืองไทย

Advertisement

เรื่องผลงานของทีมชาติไทยในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ 7 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกยังพอมีให้แฟนบอลไทยชื่นใจกันอยู่บ้าง ตั้งแต่คว้าแชมป์ซีเกมส์ 2017 ที่สิงคโปร์ / ชิงแชมป์อาเซียน ชุดใหญ่ ปี 2016, 2020 และปี 2022 แต่ต้องยอมรับว่าในระดับเอเชีย และระดับโลกเรายังไม่สามารถไปถึง แค่ในระดับอาเซียนต้องใช้คำว่า ทีมชาติไทยยังก้าวไม่พ้น ตกม้าตายอยู่บ่อยครั้งในเกือบทุกชุด

ส่วนทิศทางของฟุตบอลลีกอาชีพของเมืองไทยอย่าง “ไทยลีก” กระแสค่อยๆ ดร็อปลงไป เมื่อก่อนแฟนบอลจะได้ดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกทุกนัดทุกแมตช์ผ่านกล่องบอกรับสัญญาณอย่างทรูวิชั่นส์ ก็ดันไปปรับโปรแกรมมาเตะแบบคร่อมปีเลียนแบบพรีเมียร์ลีกอังกฤษ จนทำให้ “ทรูวิชั่นส์” แจ้งขอยกเลิกสัญญาไป
เมื่อประมูลรอบใหม่ได้ AIS เข้ามาถือครองลิขสิทธิ์ต้องบอกตามตรงกว่า กระแสดร็อปลงไปเยอะ ช่วงแรกยังมีถ่ายออกฟรีทีวี ตอนหลังแทบไม่เหลือ และเลือกที่จะไปถ่ายผ่าน AIS PLAY ยิ่งทำให้กลุ่มคนที่เข้าถึงเกิดความยุ่งยากมากขึ้น ตัวเลขเม็ดเงินงบประมาณค่าลิขสิทธิ์ฟุตบอลไทยลีกเริ่มลดลงเรื่อยๆ

ปัญหาทุกอย่างเริ่มถาโถมเข้าใส่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เริ่มจากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนสมาคมเชิญประธานสโมสร 16 สโมสรไทยลีกมานั่งประชุมหาทางออกเรื่องลิขสิทธิ์ไทยลีกรอบใหม่ ซึ่งประธานสโมสรระดับบิ๊กมากันหมด แต่หัวโต๊ะกลับไม่ใช่ “บิ๊กอ๊อด”

สถานการณ์ความบาดหมางต่างๆ เริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้นเพราะต้นปีหน้า “บิ๊กอ๊อด” จะครบวาระการบริหารงานสมัย 2 และทำท่าว่า “บิ๊กอ๊อด” จะไม่เอาต่อสมัย 3 ประกอบกับ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคม ประกาศขอชิงเก้าอี้คืน เช่นเดียวกับ “เดอะตุ๊ก” น.อ.ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตตำนานนักเตะทีมชาติไทย ก็ประกาศชิงเก้าอี้นายกสมาคมเช่นเดียวกัน

ฝั่ง “ขาใหญ่” วงการลูกหนังไทยอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” ก็เปรยๆ มาก่อนหน้านี้ว่า สมัยหน้าไม่ขอสนับสนุน “บิ๊กอ๊อด” แล้วเพราะติดขัดปัญหาเรื่องงบประมาณสนับสนุนสโมสรหลายๆ เรื่อง หลายๆ ประเด็น ระหองระแหงกันมาอยู่เนืองๆ

ข้อสรุปจากที่ประชุมวันนั้นทำแฟนบอลตะลึงไปรอบหนึ่งแล้ว นั่นคือ 16 สโมสรมีความเห็นร่วมกันขอแยกตัวออกมาหารายได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกันเองโดยไม่พึ่งพาสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เรื่องยังคาราคาซังยังไม่ผ่านที่ประชุมใหญ่ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ

คล้อยหลังไม่กี่วัน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้มากบารมี ในฐานะประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ อัดแหลกแบบไม่ไว้หน้ากลางที่ประชุมโอลิมปิคไทย ที่บ้านอัมพวัน ตามการชงเปิดหัวมาของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ พร้อมกับเรียกร้องหาสปิริตให้ พล.ต.อ.สมยศ ลาออกจากตำแหน่งอันเป็นผลพวงจากเรื่องพลาดแชมป์ซีเกมส์ และเรื่องอื้อฉาวในซีเกมส์ ที่ดูเหมือนว่าจะเงียบหายไปแล้ว

รุ่งขึ้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประกาศเตรียมจะยื่นหนังสือขอ “ลาออก” โดยอ้างเหตุผลชัดเจนว่า ทำตามคำสั่งของ “บิ๊กป้อม” ที่เคารพรักเสมอ

ฟังเผินๆ เหมือนดูดี แต่ทว่ามันเป็นกับดักระเบิดเวลาลูกใหญ่ในการดึงเอาวงการฟุตบอลไทยมาเป็น “ตัวประกัน” เป็นเหตุผลที่อาจนำไปสู่การโดน สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ลงดาบแบนวงการลูกหนังไทยเพราะขัดต่อระเบียบฟีฟ่าในเรื่องห้ามการเมืองเข้าแทรกแซงการบริหารงานของสมาคมกีฬา
ฟุตบอลฯของแต่ละประเทศ

เบื้องหลังการกดดันให้ “บิ๊กอ๊อด” ลาออกจากตำแหน่งวงในที่คลุกคลีตีโมงในสมาคมออกมาบอกว่า เป็นเรื่องของการเมืองในภาพใหญ่ เกี่ยวพันกับเรื่องการขอคะแนนเสียงจากบางพรรคการเมืองในการโหวตเลือก

“นายกรัฐมนตรี” มันเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด แม้กระทั่งเรื่องของการกดดันให้ AIS ยื่นซองประมูลลิขสิทธิ์ฟุตบอลไทยลีกเข้ามาแค่ 50 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องการเมืองแทรกแซงทั้งหมด

ว่ากันต่ออีกว่า ณ วันที่ 3 กรกฎาคม ค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกฤดูกาลใหม่กลับมามีมูลค่า 550 ล้านบาทกันแล้ว มันมีเรื่องราวไม่ชอบมาพากล ซับซ้อนซ่อนเงื่อนในวงการฟุตบอล ในวงการกีฬาเมืองไทยหลายอย่างในรอบนี้
และที่สำคัญ “เล่นกันแรง” ดุเดือดไม่แพ้ภาพการเมืองสนามใหญ่ที่แย่งชิงอำนาจกันอย่างฝุ่นตลบ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทั้งภาพการเมืองสนามใหญ่ และการเมืองในวงการลูกหนังไทย

คาดว่าเร็วๆ นี้ “บิ๊กอ๊อด” จะยื่นหนังสือ “ลาออก” ต่อ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และคงต้องดูเหตุผลการลาออกในหนังสือว่า “บิ๊กอ๊อด” จะใส่ข้อความว่าอะไร เป็นการ “วัดใจ” คนอย่าง “บิ๊กอ๊อด” เช่นกัน เพราะเจ้าตัวยืนยันรอบล่าสุดว่า “รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดกับฟุตบอลไทยในอนาคตคืออะไร จะพยายามหลีกเลี่ยง เสียสละตัวเอง หาช่องทางให้ได้”

เนื่องจาก ฟีฟ่า, สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) รวมไปถึง สหพันธ์ฟุตบอลแห่งอาเซียน (เอเอฟเอฟ) ส่งอีเมล์แสดงความเป็นห่วงมายังสมาคม หลังจากที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ขอลาออก

“บิ๊กอ๊อด” สวนกลับเหน็บบรรดากุนซือรอบข้าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มั่นใจว่าไทยจะไม่โดนฟีฟ่าแบนแน่นอน โดยให้สัมภาษณ์ว่า “คนที่บอกว่าฟีฟ่าไม่แบนหรอกนั้น ผมได้เจอกับฟีฟ่าเมมเบอร์รายหนึ่ง และเมื่อ 2 วันก่อนฟีฟ่าเมมเบอร์ได้พูดคุยกับผมหลายคน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแทรกแซงล้านเปอร์เซ็นต์ คนที่บอกว่าไม่แทรกแซง คือพวกไดโนเสาร์ล้านปี”

ปลายทางเรื่องนี้สุ่มเสี่ยงอย่างมาก อย่าลืมว่าไทยมีภารกิจส่งทีมบอลเข้าร่วมเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน, ปรีโอลิมปิก รอบคัดเลือกปลายปีนี้ รวมไปถึงเอเชี่ยนคัพ รอบคัดเลือกต้นปี 2567
นี่ยังไม่รวมถึงแมตช์เตะฟีฟ่า เดย์ ตามปฏิทินของฟีฟ่าอีก

หากไทยโดนฟีฟ่าลงโทษแบนขึ้นมาตามที่หลายฝ่ายกังวลแล้ว ผลเสียมันช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก แล้ว “ใคร” จะกล้าเข้ามาแอ่นอกรับผิดชอบต่อ “หายนะ” ดังกล่าว

ยังไม่ต้องไปมองถึงว่า “ใคร” จะมานั่งเก้าอี้นายกสมาคมคนต่อไปกันหรอก เอาแค่ว่าทำอย่างไรให้การลาออกของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ไม่โดนฟีฟ่าลงโทษแบนก็หนักหนาสาหัส ถ้าทุกคนในองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่เอาหัวใจของคนกีฬามาคุยกัน แล้ววางเรื่องการเมือง วางเรื่องผลประโยชน์ไว้ข้างหลัง
พักรบเรื่องการเมือง พักรบเรื่องผลประโยชน์กันก่อนแล้วหันหน้ามาคุยกันให้การลาออกของ “บิ๊กอ๊อด” ไม่กระทบต่อวงการลูกหนังไทย

เพื่อรักษาหน้าตาวงการฟุตบอลไทยต่อสายตาชาวโลก แล้วค่อยมารบกันต่อในการเลือกตั้งชิงตำแหน่ง “นายกสมาคม” คนใหม่…จะไม่ดีกว่าหรือ…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image