หนุ่มเมืองจันท์ เขียนถึง “เทพนิยายเลสเตอร์”

เทพนิยาย “กัมพ์”

“ข้อได้เปรียบที่พวกเขาจะมีไปจนจบซีซั่น คือ นอกเหนือจากแฟนบอลของเรา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสเปอร์แล้ว คนทั้งประเทศสนับสนุนพวกเขาอยู่”

เป็นมุมมองที่น่าสนใจของ “อาร์แซง เวนเกอร์” ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล

ครับ เขากำลังพูดถึงทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นทีมนำในตารางพรีเมียร์ลีกวันนี้

คำถาม ก็คือ ทำไม “เวนเกอร์” จึงบอกว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จึงได้รับเสียงเชียร์จากแฟนบอลทั่วประเทศอังกฤษ

Advertisement

อย่าลืมว่าแฟนบอลอังกฤษนอกจาก 3 ทีมใหญ่ที่มีโอกาสลุ้นแชมป์แล้ว ทุกคนล้วนมี “ทีมในดวงใจ”

และส่วนใหญ่เป็นยักษ์ใหญ่ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี ลิเวอร์พูล

ดังนั้น เมื่อทีมรักของตัวเองอยู่ห่างไกลจากแชมป์

Advertisement

แทนที่จะเชียร์ทีมใหญ่อีก 3 ทีม

เขาจะเลือกเชียร์ “เลสเตอร์”

เพราะไม่ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับทีมที่ตนเองชื่นชอบ

และที่สำคัญ การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ “เลสเตอร์” เป็น “เทพนิยาย” ที่ทุกคนอยากเห็น

ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์

เคยย่ำแย่ถึงขั้นหนีตกชั้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

แต่เป็นทีมที่เล่นสนุก วิ่งสู้ฟัดตลอด 90 นาที

ไม่เคยยอมแพ้ ถ้ากรรมการไม่เป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน

“เลสเตอร์” จึงเป็น “มวยรอง” ที่ใครๆ ก็อยากเชียร์

เพราะถ้าเขาได้เป็นแชมป์

“เทพนิยาย” ก็จะเป็นจริง

ในโลกที่โหดร้าย คนส่วนใหญ่คือ “คนตัวเล็ก”

คนกลุ่มนี้ชอบ “เทพนิยาย”

เพราะการทำสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ คือ การสร้าง “ความหวัง” และ “แรงบันดาลใจ” ให้กับตัวเรา

ทุกคนต้องการ “ตัวอย่าง” ที่เกิดขึ้นจริง

แต่ที่ “เวนเกอร์” พูดไม่หมด ก็คือ ไม่ใช่แค่คนทั้งประเทศอังกฤษจะเชียร์ “เลสเตอร์”

คนไทยทั้งประเทศก็เชียร์

เพราะเจ้าของทีม “เลสเตอร์” เป็นคนไทยครับ

“วิชัย ศรีวัฒนประภา” เจ้าของคิง เพาเวอร์

“เลสเตอร์” จึงได้ฉายาว่า “จิ๊งจอกสยาม”

ขนาดผมเป็นแฟน “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แต่ถ้าแมนฯ ยู ลงสนามพร้อมกับเลสเตอร์ ซิตี้

ผมเลือกดู “เลสเตอร์”

เพราะใจลึกๆ อดเชียร์ทีมของคนไทยไม่ได้

ที่สำคัญ “เลสเตอร์” เล่นบอลสนุก ในขณะที่แมนฯ ยู ยุค “หลุยส์ ฟาน กัล” เล่นน่าเบื่อมาก

“อัยยวัฒน์” ลูกชายของ “วิชัย” ที่ดูแลทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เคยเล่าว่าเขากับคุณพ่อชอบดูฟุตบอลอังกฤษ

และได้ยินคุณพ่อรำพึงอยู่เรื่อยๆ ว่า “วันหนึ่งเราจะมีทีมฟุตบอลอังกฤษเป็นของตัวเองบ้างไหม”

แล้ววันหนึ่งฝันก็เป็นจริง

เขาซื้อทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ตอนที่ตกต่ำอย่างหนัก ต้องตกชั้นไปเล่นดิวิชั่น 1 มานาน 6 ปี

ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาเล่นพรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

“วิชัย” เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาวางแผนจะทำให้ “เลสเตอร์” ติดท็อป 5 ของพรีเมียร์ลีกให้ได้ภายใน 3 ปี

แต่ปีแรก คือ ฤดูกาลที่แล้ว “เลสเตอร์” ต้องหนีตกชั้น

การหนีตกชั้นของเขาก็ถือเป็น “เทพนิยาย” บทแรก

เพราะเมื่อตอนที่เหลือ 9 นัดสุดท้าย “เลสเตอร์” อยู่อันดับสุดท้าย

ใครๆ ก็ฟันธงว่าเขาจะตกชั้นอย่างแน่นอน

แต่ “เลสเตอร์” ก็โกงความตายสำเร็จ

ชนะ 7 นัดจาก 9 นัด

หนีตกชั้นหวุดหวิด

แต่ปีนี้ “เลสเตอร์” สร้าง “เทพนิยาย” ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ขึ้นเป็นทีมนำของตารางพรีเมียร์ลีกตั้งแต่เริ่มต้น

ตอนแรกใครๆ ก็ว่าฟลุก

คิดว่าคงยืนระยะได้พักหนึ่งก็ร่วงหล่นเหมือนทีมเล็กๆ ทั่วไป

เหมือนพลุที่ร่วงจากฟ้า

แต่ใครจะไปนึกว่า “เลสเตอร์” รักษาตำแหน่งจ่าฝูงได้ยาวนาน

ลงแป๊บนึง เดี๋ยวก็ขึ้นอีก

ไม่ใช่พลุ ไม่ใช่ภาพมายา

แต่กำลังเป็น “เทพนิยาย” ในโลกแห่งความจริง

ที่สำคัญความสำเร็จของ “เลสเตอร์” นั้นไม่ได้มาจาก “ซูเปอร์สตาร์” คนใดคนหนึ่ง

เชื่อไหมว่าค่าตัวของนักฟุตบอลทั้งทีม 22 ล้านปอนด์

2 กองหน้าคนสำคัญ “เจมี วาร์ดี้” ดาวซัลโววันนี้ค่าตัวตอนที่ซื้อมาแค่ 1 ล้านปอนด์

“ริยาด มาห์เรซ”4 แสนปอนด์

ค่าตัวนักเตะทั้งทีมน้อยกว่าค่าตัว 25 ล้านปอนด์ของ “ราฮีม สเตอริ่ง” นักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงคนเดียว

“อาร์แซง เวนเกอร์” บอกกับนักข่าวว่าพวกคุณชอบถามเสมอว่าทำไมเขาไม่ซื้อผู้เล่นบิ๊กเนม

“เลสเตอร์ คือ ตัวอย่างที่ดีว่าฟุตบอลไม่ใช่แค่การใช้เงิน”

ครับ ความสำเร็จของ “เลสเตอร์” ไม่ได้มาจากเงิน

แต่มาจากฝีมือการบริหารจัดการของ “วิชัย” และ “อัยยวัฒน์”

2 คนนี้เป็น “คนไทย”

ความเป็น “เทพนิยาย” ของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เริ่มตั้งแต่ “ตัวละคร” ที่ “โนเนม” และ “ไร้ความหวัง”

“วาร์ดี้” คือ นักเตะนอกลีกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

“มาห์เรซ” นักเตะทีมชาติแอลจีเรียก็ “โนเนม” อย่างยิ่ง

ถ้าเอ่ยชื่อนักเตะเลสเตอร์ ในช่วง 3 ปีก่อน แทบจะไม่มีใครรู้จักเลย

ผู้จัดการทีมที่ชื่อ “เคลาดิโอ รานิเอรี” แม้จะเป็นกุนซือจอมเก๋าชาวอิตาเลียน ที่มีประสบการณ์กับทีมชั้นนำมามากมาย

แต่เขาก็อายุ 63 ปี และอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดเพราะคุมทีมชาติกรีซตกรอบบอลยูโร

แพ้แม้กระทั่งทีมหมู่เกาะแฟโร ทั้งเหย้าและเยือน

อับอายจนถูกไล่ออก

ตอนที่ประกาศชื่อ “รานิเอรี” แฟนเลสเตอร์ ซิตี้ ต่อต้านเกินครึ่ง

เห็น “ตัวละคร” ของ “เลสเตอร์” แล้วเหมือนนิยายกำลังภายในหรือหนัง “ร็อกกี้” ไหมครับ

พระเอกต้องเจอคำดูถูกมาก่อนแล้วค่อยชนะภายหลัง

ถ้าใครติดตามฟอร์มของ “เลสเตอร์” มาตลอด จะเห็นได้ว่าความไม่มี “ซูเปอร์สตาร์” มีข้อดีข้อหนึ่ง คือ นักเตะในทีมเท่าเทียมกัน ไม่มีใครวางฟอร์ม

ทุกคนช่วยกันเล่นเป็นทีม

สไตล์ “วิ่งสู้ฟัด” ของ “เลสเตอร์” เป็นที่ยอมรับของทุกทีม

“รานิเอรี” บอกว่าถ้าให้เปรียบทีม “เลสเตอร์” กับใคร

“เราเหมือน ฟอร์เรสต์ กัมพ์”

เมื่อเริ่มวิ่งแล้ว จะวิ่งไมหยุด

ในนัดแรกๆ ของ “เลสเตอร์ ซิตี้” เขาจะเล่นแบบระมัดระวัง เหมือนคนถ่อมตัว

รู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่จะสู้

แต่นัดหลังๆ เหมือนนักเตะจะเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น

กล้าเล่น

เพราะการสั่งสมชัยชนะทีละเล็ก ทีละน้อย จะทำให้เกิด “ความเชื่อมั่น”

และ “ความเชื่อมั่น” ก่อให้เกิดพลัง

เป็นพลังงานที่มองไม่เห็น

แต่มีอยู่จริง

นึกถึงทีมเชลซี แชมป์เมื่อปีที่แล้ว

นักเตะเดิมทั้งทีม ผู้จัดการทีมก็คนเดิม

แต่ฟอร์มปีนี้ย่ำแย่จนอยู่ท้ายตารางในช่วงแรกๆ

เพราะนักเตะและผู้จัดการทีมขาด “ความเชื่อมั่น” ซึ่งกันและกัน

อีกเหตุผลหนึ่งที่เห็นชัดในทีม “เลสเตอร์” คือ ความสนุกในการเล่น

“รานิเอรี” บอกว่า ตอนที่เขามาคุมทีม นักเตะจะกลัวสไตล์การเล่นแบบอิตาลี

เพราะการเล่นแบบอิตาลี คือ การควบคุมทีมให้เล่นตามความคิดและแผนการเล่นของโค้ช

“ตอนที่คุยกับนักเตะ ผมรู้ว่าทุกคนกลัวแผนการเล่นแบบนี้”

แต่สิ่งที่ “รานิเอรี” ทำก็คือ เขาคุยเรื่องแผนการเล่นน้อยมาก

และให้ความสำคัญกับการสร้าง “ความเชื่อมั่น” ในตัวนักบอลทุกคน

ขอเพียงเรื่องเดียว คือ ทุกคนต้องวิ่งสู้ฟัดเหมือนที่เคยทำมา

เมื่อนักบอลมีอิสระในการเล่น

เขาก็เล่นด้วยความสนุก

ยิ่งชนะ ยิ่งสนุก

“ความเป็นทีม-ความเชื่อมั่น” และ “ความสนุก” จึงเป็น 3 ปัจจัยสู่ความสำเร็จของ “เลสเตอร์”

ทีมที่กำลังสร้างเทพนิยายที่เกาะอังกฤษ

และแรงบันดาลใจให้กับ “คนตัวเล็ก” ทั่วโลก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image