จับตาปรากฏการณ์ลีกจีน ดีเดย์มหาอำนาจลูกหนังปี 2050!

ต่อเนื่องจากวันวานกับปรากฏการณ์สะเทือนวงการลูกหนังโลกของ ไชนีส ซุปเปอร์ลีก ลีกฟุตบอลประเทศจีนซึ่งกำลังกว้านซื้อนักเตะดังจากทั่วโลกด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาล

กลายเป็นว่ายุคนี้สมัยนี้ เวลาถึงช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะที แทนที่จะมองไปยังลีกลูกหนังยุโรปเป็นหลัก กลับต้องให้ความสนใจกับลีกจากเมืองจีนด้วยว่าจะมาฉกตัวสตาร์ดังหรือดาวเด่นคนไหนตัดหน้าทีมใหญ่ของยุโรปบ้างหรือไม่

บทบาทในวงการฟุตบอลของลีกจีนในตอนนี้ บรรดาผู้เกี่ยวข้องกับลีกชั้นนำหลายฝ่ายมองว่าเป็นการ “คุกคาม” ขณะที่คนดังบางคน อาทิ อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือ เชลซี และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ต่างออกมาแสดงความเป็นห่วงว่า หากยังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ วงการฟุตบอลมีแต่จะแย่ลง

เพราะหลายคนมองว่า มาตรฐานการเล่นของไชนีส ซุปเปอร์ลีก ยังห่างไกลจากทั้งยุโรปและอเมริกาใต้อยู่มาก หรือแม้กระทั่งเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกา, เจ-ลีกของญี่ปุ่น และเอ-ลีกของออสเตรเลีย ก็ยังน่าจะล้ำหน้ากว่า การใช้เงินดึงนักเตะเก่งๆ ไป จึงมองว่าเป็นการเสียผู้เล่นพรสวรรค์ที่เปล่าประโยชน์

Advertisement

ถ้าเป็นเหมือนเมเจอร์ลีกหรือลีกตะวันออกกลางซึ่งเน้นดึงผู้เล่นที่ใกล้เกษียณตัวเองก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไชนีส ซุปเปอร์ลีก เริ่มพุ่งเป้าไปที่นักเตะฝีเท้าระดับกลางค่อนไปทางดี แถมยังอยู่ในช่วงอายุซึ่งยังเล่นลีกชั้นนำของโลกได้อีก 2-3 ปีเป็นอย่างน้อย จึงน่าเป็นห่วงกว่ามาก

b8aeed9906a719c81bae0b

กรณีล่าสุดคือการทุ่มงบดึง ออสการ์ กองกลางชาวบราซิเลียนไปจากเชลซี โดยทีม เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี ด้วยค่าตัวประมาณ 52 ล้านปอนด์ (2,340 ล้านบาท) ทั้งที่ออสการ์เพิ่งอายุได้ 25 ปี กำลังเข้าสู่ช่วงพีกของอาชีพนักฟุตบอล

Advertisement

พอถามหาเหตุผล หลายคนก็พุ่งเป้าไปที่ค่าตอบแทนเนื่องจากมีรายงานว่า ออสการ์จะได้ค่าเหนื่อยจากเอสไอพีจีตกสัปดาห์ละ 400,000 ปอนด์ (18 ล้านบาท) เหนือกว่าที่ยอดแข้งระดับโลกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ได้รับเสียอีก!

 

การรุกคืบของลีกจีนเป็นไปตามนโยบายของประธานาธิบดี

สี จิ้นผิง
สี จิ้นผิง

ซึ่งต้องการให้ ฟุตบอลโลก เป็นเวทีแสดงแสนยานุภาพของจีน โดยวางเป้าหมายไว้ 3 ข้อหลักๆ คือ การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก, การผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก และการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก และกำหนดเวลาเอาไว้ว่า ในปี 2050 จีนจะต้องเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของวงการลูกหนังโลกให้ได้

หากพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของทีมชาติจีน ถือว่าเป้าหมายที่ 2 และ 3 ค่อนข้างจะไกลตัวอยู่พอสมควร เนื่องจากทุกวันนี้ทีมชาติจีนมีอันดับโลกอยู่ที่อันดับ 83 เป็นรองแม้แต่ชาติเล็กๆ ประชากรไม่ถึงแสนคนอย่าง แอนติกา แอนด์ บาร์บูดา เสียอีก ขณะที่สถานการณ์การลงสนามฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบสุดท้าย ก็รั้งบ๊วยของกลุ่ม

กระนั้น จีนก็พยายามเดินหน้าแผนงานพัฒนาวงการลูกหนังของประเทศอย่างจริงๆ จังๆ โดยเล็งสร้างอคาเดมีทั่วประเทศ 20,000 แห่ง และผลักดันให้นักเรียนประถมและมัธยมต้นทั่วประเทศกว่า 30 ล้านคน เล่นฟุตบอลอย่างถ้วนหน้าภายในระยะเวลา 4 ปี

ปัญหาใหญ่เรื่องการสร้างฐานผู้เล่นจากระดับเยาวชนนั้น ทอม บายเออร์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนากีฬาฟุตบอลซึ่งโดนจีนทาบทามไปจากญี่ปุ่น กล่าวว่า ติดอยู่ตรงวัฒนธรรมและทัศนคติของผู้ปกครอง

เนื่องด้วยพ่อแม่ชาวจีนอยากให้ลูกๆ เน้นการเรียนเป็นหลักเพื่ออนาคตที่มั่นคง หรือหากจะเล่นกีฬาก็ต้องมั่นใจว่าสามารถเอาดีได้

ปัญหาคือฟุตบอลยังถือเป็นกีฬาชั้นรองของประเทศ ไม่เหมือนกีฬากลุ่มโอลิมปิกเกมส์หรือกีฬาอาชีพอีกหลายๆ ชนิดที่มีงานรองรับอย่างกว้างขวาง และมีสวัสดิการจากภาครัฐอย่างจริงจังสำหรับคนที่เลือกเส้นทางนี้

การพัฒนาและยกระดับไชนีส ซุปเปอร์ลีก อย่างเร่งรัดจึงเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงเข้ามาสนับสนุนด้านงบประมาณให้ทีมต่างๆ อย่างเต็มตัว โดยความร่วมมือของภาคเอกชน

มาร์เชลโล่ ลิปปี้
มาร์เชลโล่ ลิปปี้

พอเงินไม่ใช่ปัญหา ก็สามารถทาบทามโค้ชชื่อดัง อาทิ มาร์เชลโล่ ลิปปี้ (ทีมชาติ), สเวน โกรัน อีริคส์สัน, หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ หรือ อันเดร วิลลาส โบอาส ไปคุมทีมได้ เช่นเดียวกับการดึงนักเตะดังๆ หลายรายแบบฮือฮากันตลอดปี

แต่หลังจากเริ่มเป็นที่จับตามองและโดนวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างเรื่องการซื้อขายแบบบ้าระห่ำ สมาคมฟุตบอลจีนจึงต้องเบรกกระแสด้วยการลดโควต้านักเตะต่างชาติของแต่ละทีมในฤดูกาลใหม่ จากเดิม 5 คน เหลือ 4 คน และกำหนดว่าแต่ละทีมจะส่งลงสนามพร้อมๆ กันได้ไม่เกิน 3 คน

ที่น่าสนใจคือ กระแสตื่นตัวในเชิงลบเกี่ยวกับการทุ่มเงินกว้านซื้อนักเตะของลีกจีนไม่ได้มีเสียงสะท้อนจากรอบนอกอย่างเดียว เพราะล่าสุดแม้แต่สื่อในประเทศอย่าง พีเพิลส์ เดลี่ ก็ยังเตือนว่าเม็ดเงินประมาณ 8,000 ล้านหยวน (40,000 ล้านบาท) ที่ถูกใช้ในการซื้อขายนักเตะโดยลีกจีนตลอดปี 2016 นี้ เกินกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจของตัวลีกไม่รู้กี่เท่า

2016042511291787582

และอีกประเด็นที่ลืมไม่ได้คือ แม้ว่าวันนี้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะมอบนโยบายดังกล่าวเอาไว้ แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาจะอยู่ในอำนาจนานเท่าใด โดยสื่อการเมืองเชื่อกันว่า สี จิ้นผิง น่าจะลงจากตำแหน่งราวปี 2022 เพื่อหลีกทางให้ทายาทการเมืองคนใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ

ถึงตอนนั้น ประธานาธิบดีจีนคนใหม่อาจไม่ได้ให้ความสำคัญหรือคิดสานต่อแผนที่เคยเดินหน้าเอาไว้ หรืออาจจะชอบกีฬาอื่นเลยหันไปเน้นกีฬาเหล่านั้นแทนเสียก็ได้

แล้วสภาพของไชนีส ซุปเปอร์ลีก ที่ (อาจจะ) ถูกปล่อยทิ้งกลางทางจะเป็นอย่างไร? นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามซึ่งผู้สังเกตการณ์อดหวั่นไม่ได้เช่นกัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image