รอบปี 2016 ที่ผ่านมา มีนักกีฬาหลายรายสร้างชื่อและสร้างผลงานโดดเด่นในเวทีโลก เนื่องด้วยเป็นปีที่มีการแข่งขันกีฬารายการสำคัญเกิดขึ้นถึง 2 รายการ นั่นคือ โอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล และ ยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส
การเฟ้นหาผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง “นักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปี” จึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่ใช่เพราะผลงานไม่ถึงขั้น แต่เป็นเพราะมีนักกีฬาซึ่งสร้างผลงานโดดเด่นจนไม่อาจมองข้ามได้หลายรายนั่นเอง
ไหนจะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ผู้พา โปรตุเกส และ รีล มาดริด คว้าแชมป์ยุโรป ทั้งระดับทีมชาติและสโมสร จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยม หรือ “บัลลงดอร์” ไปครองเป็นสมัยที่ 4
ไหนจะ เลบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ดซุปเปอร์สตาร์ ผู้พา คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส แซงชนะ โกลเดนสเตท วอร์ริเออร์ส คว้าแชมป์เอ็นบีเอฤดูกาลนี้ ยุติการรอคอยของชาวเมืองคลีฟแลนด์ที่ปราศจากแชมป์ลีกกีฬาอาชีพมายาวนานถึง 52 ปีเต็ม
อีกทั้งยังมี แอนดี้ เมอร์เรย์ นักเทนนิสชาวสก๊อตซึ่งเบียดแย่งตำแหน่งมือ 1 ของโลกจาก โนวัก โยโควิช พร้อมคว้าแชมป์แกรนด์สแลม วิมเบิลดัน สมัยที่ 2, ป้องกันเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์เอาไว้ได้ และคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนัลส์ ส่งท้ายปีได้อีก
เช่นเดียวกับ อังเกลิค แคร์เบอร์ นักหวดสาวชาวเยอรมัน ผู้พิชิต เซเรน่า วิลเลียมส์ คว้าแชมป์แกรนด์สแลม 2 รายการ และขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกคนใหม่ จนบรรดาเพื่อนร่วมวงการต่างเอ่ยถึงเธอในฐานะผู้พิสูจน์ปรัชญาว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้”
แต่ที่สุดแล้ว เมื่อปี 2016 เป็นปีของการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ซึ่ง 4 ปีมีครั้ง ก็คงต้องพิจารณาผลงานในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติเป็นสำคัญ ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่ชื่อของ ไมเคิล เฟลป์ส และ ยูเซน โบลต์ สองซุป’ตาร์หน้าเดิมกลับมาการันตีคุณภาพเหมือนเมื่อคราว “ปักกิ่งเกมส์” ปี 2008 และ “ลอนดอนเกมส์” ปี 2012
ในแง่สถิติ ผลงานของทั้งคู่อาจจะไม่เปรี้ยงเท่าโอลิมปิกเกมส์ 2 ครั้งแรก แต่เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมต่างๆ แล้ว ถือว่าทั้งคู่ต่างทำได้เกินความคาดหมาย
ครึ่งแรกของรีโอเกมส์ครั้งนี้เป็นของไมเคิล เฟลป์ส ฉลามหนุ่มชาวอเมริกัน ซึ่งตัดสินใจหวนคืนสระอีกครั้งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว หลังจากประกาศอำลาวงการเมื่อจบการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2012
เฟลป์สเผยว่า เหตุผลที่ตัดสินใจคัมแบ๊กเป็นเพราะคาใจที่แพ้ให้ แชด เล คลอส ฉลามหนุ่มจากแอฟริกาใต้ในท่าถนัด ผีเสื้อ 200 เมตร เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
การคืนสระในช่วงแรกมีอุปสรรค เมื่อเขาโดนจับข้อหาเมาแล้วขับเป็นครั้งที่ 2 จนโดนสหพันธ์ว่ายน้ำแห่งสหรัฐอเมริกาลงโทษห้ามทำการแข่งขันเป็นเวลา 6 เดือน เฟลป์สจึงพลาดโอกาสวัดฝีมือหรือเช็กผลการฝึกซ้อมในศึกใหญ่อย่างว่ายน้ำชิงแชมป์โลกที่รัสเซีย
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เฟลป์สก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังไว้ลายนักว่ายน้ำที่คว้าเหรียญรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิกเกมส์
ในการแข่งขันคัดตัวแทนทีมชาติสหรัฐในเดือนกรกฎาคมปีนี้ เฟลป์สคว้าสิทธิเข้าร่วมแข่งขันได้ 6 ประเภท แบ่งเป็นประเภทเดี่ยว 3 และผลัด 3 กลายเป็นนักว่ายน้ำชายชาวอเมริกันคนแรกที่ได้ร่วมแข่งโอลิมปิกเกมส์ถึง 5 สมัย
เฟลป์สปิดสระรีโอเกมส์ด้วยการคว้า 5 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน หรือกวาดแชมป์เกือบทุกประเภทที่ร่วมแข่งขัน โดย 5 เหรียญทองของเขามาจากผีเสื้อ 200 เมตร (ซึ่งเจ้าตัวล้างแค้น เล คลอส ได้สมใจอยาก), เดี่ยวผสม 200 เมตร รวมทั้งเป็นสมาชิกทีมแชมป์ชุดผลัดฟรีสไตล์ 4×100 เมตร กับ 4×200 เมตร และผลัดผสม 4×100 เมตร
ส่วนเหรียญเดียวที่พลาดไปคือ ผีเสื้อ 100 เมตร ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งท่าถนัด เนื่องจากเฟลป์สเป็นแชมป์เก่า 3 สมัยซ้อน โดยอีเวนต์นี้กลายเป็นเซอร์ไพรส์ครั้งสำคัญของโอลิมปิกครั้งนี้ เนื่องจากตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของ โจเซฟ สคูลลิ่ง ฉลามหนุ่มชาวสิงคโปร์ซึ่งเรียนและฝึกซ้อมอยู่ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสในเมืองออสติน
กระนั้น เฟลป์สก็ยังมีความทรงจำดีๆ ส่งท้าย เพราะอีเวนต์นี้เขาแตะขอบสระพร้อมกับคู่ปรับร่วมยุค ทั้ง แชด เล คลอส และ ลาซโล่ เชห์ จากฮังการี ที่เวลา 51.14 วินาทีเป๊ะๆ ทำให้ทั้ง 3 คน ครองเหรียญเงินร่วมกันแบบเหลือเชื่อทันที
ผลงานจากสระรีโอเกมส์ทำให้เฟลป์สตอกย้ำสถานะนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองและเหรียญรางวัลรวมมากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิก ด้วยสถิติ 23 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง รวม 28 เหรียญรางวัล ซึ่งหลายคนเชื่อว่าอาจเป็นสถิติที่ยืนยงจนไม่มีใครทำลายลงได้อีกแล้ว!
จบเรื่องของเฟลป์สในช่วงแรกของโอลิมปิกเกมส์ ช่วงครึ่งหลังไฮไลต์ย้ายไปอยู่ที่สนามกรีฑา กับการตัดสินหาตำแหน่งเจ้าลมกรดหรือมนุษย์ที่เร็วที่สุดในโลก อันเป็นไฮไลต์สำคัญคู่การแข่งขันโอลิมปิก
และเป็นอีกครั้งที่ทั่วโลกจับตามอง ยูเซน โบลต์ ยอดลมกรดชาวจาเมกา วัย 30 ปี แชมป์เก่า 2 สมัยซ้อนทั้งในประเภท 100 เมตร, 200 เมตร และผลัด 4×100 เมตร อีกทั้งยังเป็นเจ้าของสถิติโลกทั้ง 3 ประเภทดังกล่าวอีกด้วย
เจ้าของท่า “สายฟ้าฟาด” สภาพร่างกายโรยราไปตามอายุ และตั้งแต่ต้นปีก็มีปัญหาบาดเจ็บกวนใจเป็นระยะๆ ไม่ต่างจากเมื่อปีกลาย
สถานการณ์ของโบลต์ต่างจากเฟลป์สตรงที่ กรณีฉลามหนุ่มชาวอเมริกันอำลาสระไปนาน 2 ปีจึงเปลี่ยนใจ เวลาคัมแบ๊กค่อนข้างกระชั้นชิด แฟนๆ ส่วนใหญ่จึงมองด้วยความสงสัยและคาดหวัง แต่แอบเผื่อใจเอาไว้
ผิดกับโบลต์ซึ่งต้องแบกรับความคาดหวังของแฟนๆ และคนในแวดวงกรีฑาโลกเอาไว้สูงมาก เนื่องจากสหพันธ์กรีฑานานาชาติ (ไอเอเอเอฟ) กำลังเผชิญปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นและปัญหาโด๊ปยาซึ่งฝังรากลึกมายาวนาน
แต่ไม่ว่าจะกดดันขนาดไหน โบลต์ก็ยังรับมือได้อย่างน่าทึ่ง เช่น การปรากฏตัวในห้องแถลงข่าวก่อนการแข่งขันพร้อมสาวๆ นักเต้นแซมบ้า เรียกเสียงฮือฮาจากผู้สื่อข่าวได้กึกก้อง
และเมื่อถึงวันแข่งขันจริง โบลต์ก็ยังเป็นโบลต์ เป็นม้าตีนปลายที่ไล่แซงชาวบ้านเข้าเส้นชัยคว้าแชมป์วิ่ง 100 เมตรไปครองด้วยเวลา 9.81 วินาที ดีกว่า จัสติน แกตลิน คู่ปรับสำคัญชาวอเมริกันที่คว้าเหรียญเงิน 0.08 วินาที
ในจำนวน 3 อีเวนต์ ถือว่าวิ่ง 100 เมตรเป็นงานยากที่สุด พอถึงการแข่งขันวิ่ง 200 เมตร ซึ่งว่ากันว่าโบลต์ถนัดที่สุดและเข้าขั้นไร้เทียมทาน ยอดลมกรดจาเมกาก็หยิบเหรียญทองได้แบบชิลๆ เป็นนักวิ่งคนแรกที่คว้าเหรียญทองวิ่ง 100 และ 200 เมตรได้จากโอลิมปิก 3 สมัยติดต่อกัน ก่อนจะมาทำหน้าที่ผลัดสุดท้ายเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 คว้าเหรียญทองให้ทีมไต้ฝุ่นจาเมกาอีกเหรียญ
โบลต์กลายเป็นนักวิ่งชายคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำสถิติ “ทริปเปิล-ทริปเปิล” หรือคว้า 3 เหรียญทองได้ในโอลิมปิกเกมส์ 3 สมัยติด และเป็นนักกรีฑาคนที่ 3 ที่ทำได้ 9 เหรียญทองโอลิมปิก ต่อจาก คาร์ล ลูอิส ตำนานลมกรดชาวอเมริกัน และ พาโว นูร์มี่ ยอดนักวิ่งระยะไกลชาวฟินแลนด์
หลังรีโอเกมส์ปิดฉาก เฟลป์สก็ประกาศอำลาสระทันที และยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนใจอีกรอบแล้ว ขณะที่โบลต์ขอลงแข่งขันกรีฑาชิงแชมป์โลกที่กรุงลอนดอนในปี 2017 เป็นการส่งท้ายชีวิตนักวิ่งของตัวเองก่อน
สำหรับเวทีโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ นอกเหนือจากการตอกย้ำตำนานของโบลต์และเฟลป์สแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ที่โดดเด่นจากฝ่ายนักกีฬาหญิงคงต้องยกให้ ซีโมน ไบล์ส ซึ่งเป็นนักยิมนาสติกหญิงชาวอเมริกันคนแรกที่คว้าถึง 4 เหรียญทองจากโอลิมปิกเกมส์ครั้งเดียว
สาวน้อยวัย 19 ปี จากเท็กซัส กวาดแชมป์ประเภททีมหญิง, บุคคลรวมอุปกรณ์หญิง, ฟลอร์เอ็กเซอร์ไซส์ และม้ากระโดด พ่วงด้วยอีก 1 เหรียญทองแดงจากราวทรงตัว ตอกย้ำความยอดเยี่ยมจากที่เคยคว้า 10 เหรียญทองในศึกชิงแชมป์โลกตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
ด้วยท่วงท่าการแสดงที่แข็งแกร่งสง่างามและทรงพลัง ทำให้ไบล์สโชว์ผลงานได้โดดเด่นเหนือคู่แข่งชนิดยากจะหาคู่ต่อกร นับเป็นอีกหนึ่งยุคทองของวงการยิมนาสติกหญิงสหรัฐอย่างแท้จริง ส่งผลให้เธอได้รับคะแนนโหวตท่วมท้นจากผู้สื่อข่าวให้รับรางวัลนักกีฬาหญิงยอดเยี่ยม จัดโดยสำนักข่าว เอพี ของสหรัฐ เมื่อไม่กี่วันก่อน
วันนี้ในวัย 19 ปี และจุดเด่นเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกาย เชื่อว่าไบล์สจะยังเป็นกำลังสำคัญให้ทีมยิมนาสติกหญิงของสหรัฐได้อีกหลายปี และถ้าเธอไม่เลิกเล่นไปเสียก่อน โอลิมปิกเกมส์ครั้งหน้าที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2020
เราก็คงจะได้เห็นไบล์สเป็นพี่ใหญ่ประคองน้องๆ ลุ้นเหรียญรางวัลกันอีกครั้งหนึ่ง