ปี 2016 และ 3 ตำนานผู้จากไป

ทุกๆ ปีวงการกีฬาโลกต้องสูญเสียบุคลากรด้านต่างๆ ไปเป็นจำนวนมาก แต่ปี 2016 ค่อนข้างจะพิเศษกว่าปีอื่นๆ เนื่องจากเป็นปีที่นักกีฬาผู้ยิ่งใหญ่ถึง 3 คนต้องปิดตำนานของตัวเองลง เพื่อรำลึกถึงประวัติและผลงานของตำนานกีฬาทั้ง 3 คน เราจึงถือโอกาสนี้ทบทวนความทรงจำถึงช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่เหล่านั้นอีกครั้ง…

โยฮัน ครัฟฟ์
(25 เมษายน 1947-24 มีนาคม 2016)

นับเป็นอีกปีที่วงการลูกหนังต้องสูญเสียนักเตะระดับตำนาน หลัง เฮนดริก โยฮันเนส ครัฟฟ์ หรือชื่อที่คอบอลตัวจริงรู้จักกันดีในนาม “โยฮัน ครัฟฟ์” อดีตจอมทัพทีมชาติ เนเธอร์แลนด์, สโมสร อายแอ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และ บาร์เซโลน่า เสียชีวิตใน วัย 68 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอด จากการสูบบุหรี่จัดในอดีตอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ก่อนถึงวันเกิด 69 ปีแค่หนึ่งเดือน

ครัฟฟ์เป็นคนเมืองหลวง เกิดที่กรุงอัมสเตอร์ดัม วันที่ 25 เมษายน 1947 บ้านของเขาที่มีพ่อเป็นคนชนชั้นแรงงาน และเป็นแรงบันดาลใจในการบ้าฟุตบอล อยู่ห่างจากสนามอายแอ็กซ์ด้วยการเดินเพียง 5 นาที แล้วเหมือนโชคชะตาของครัฟฟ์จะถูกขีดเขียนให้เป็นตำนานกับอายแอ็กซ์ เพราะหลังจาก เฮอร์มานัส พ่อของเขาเสียชีวิตเพราะหัวใจวายตอนครัฟฟ์อายุ 12 ปี เปโตรเนลล่า แม่ของเขาต้องเริ่มทำงานเป็นแม่บ้านที่สโมสรอายแอ็กซ์ และพบรักใหม่กับ เฮงก์ แองเจล คนดูแลสนามอายแอ็กซ์ ซึ่งเป็นอีกคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของครัฟฟ์ไม่น้อย

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ครัฟฟ์เริ่มเตะบอลให้ทีมเยาวชนอายแอ็กซ์ตั้งแต่ปี 1957 และขึ้นทีมชุดใหญ่ปี 1964 ก่อนดังเป็นพลุแตกกับยุคที่ลูกหนังดัตช์ค้นพบศาสตร์การเล่นอย่าง “โททัล ฟุตบอล” ที่นักเตะทุกคนในสนามสามารถทดแทนตำแหน่งกันและกันได้ ส่งผลให้การเล่นกับอายแอ็กซ์สมัยแรก (1964-1973) ของครัฟฟ์ ประสบความสำเร็จด้วยแชมป์ลีกดัตช์ 6 สมัย, แชมป์บอลถ้วยดัตช์ 5 สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 3 สมัย, แชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ และแชมป์สโมสรโลกอย่างละสมัย รวมทั้งรางวัลเกียรติยศส่วนบุคคล “บัลลงดอร์” 3 ครั้ง และถูกบาร์เซโลน่า ยอดทีมจากสเปน ซื้อตัวด้วยสถิติโลกขณะนั้น 922,000 ปอนด์ ในปี 1973

แม้ครัฟฟ์ที่แต่งงานกับ แดนนี่ คอสเตอร์ ปลายปี 1968 จะคว้าแชมป์ลาลีก้า สเปน ให้ “บาร์ซ่า” ได้แค่ครั้งเดียวในฤดูกาลแรก 1973-74 แต่ก็เป็นแชมป์ลีกแดน “กระทิงดุ” รอบ 14 ปีของสโมสร ตามด้วยแชมป์โกปาเดลเรย์ สเปน อีกครั้งใน 4 ปีต่อมา แต่เขาก็กลับมาสร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าในฐานะโค้ชบาร์เซโลน่า ด้วยแชมป์ลีก 4 สมัย, ยูโรเปี้ยนคัพ 1 สมัย, คัพวินเนอร์สคัพ (ยุบรวมเป็นยูโรป้าลีกในปัจจุบัน) 1 สมัย, ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ 1 สมัย, โกปาเดลเรย์ 1 สมัย และสแปนิช ซุปเปอร์คัพ 1 สมัย

1

Advertisement

แต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการแบกทีมชาติเนเธอร์แลนด์จนเกือบได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 1974 ก่อนถูก เยอรมนีตะวันตก เจ้าภาพ แซงคว้าชัยในเกมชิงดำที่นครมิวนิก และแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 31 ปี หรือก่อนฟุตบอลโลก 1978 รอบสุดท้าย ที่ทีม “อัศวินสีส้ม” เดินทางไปเป็นรองแชมป์อีกครั้งที่ อาร์เจนตินา แม้จะกลับมาค้าแข้งอีกครั้งในเวลาต่อมา และเผยสาเหตุเลิกเล่นครั้งแรกอีก 30 ปีให้หลังว่า เขาและครอบครัวถูกขู่ลักพาตัว

ถึงครัฟฟ์จะเลิกสูบบุหรี่หลังผ่าตัดหัวใจปี 1991 แต่การเป็นสิงห์รมควันอย่างหนักมาเป็นสิบๆ ปี ทำให้เจ้าตัวตรวจเจอมะเร็งปอดในปี 2015 แม้จะได้รับการรักษาชั้นยอด และกำลังใจเป็นเลิศ ทว่าเขาก็ฝืนลิขิตฟ้าไม่สำเร็จ

มูฮัมหมัด อาลี
(17 มกราคม 1942-3 มิถุนายน 2016)

อดีตนักชกผู้ยิ่งยงเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซนา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ขณะอายุ 74 ปี หลังจากต่อสู้กับโรคพาร์กินสันมายาวนาน และช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้นเกิดอาการหายใจติดขัดจนต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน

อาลีถือกำเนิดในชื่อ แคสเซียส มาร์เซลลัส เคลย์ จูเนียร์ มีสายเลือดแอฟริกันปนอังกฤษกับไอริช และสืบเชื้อสายจากทาสในยุคค้าทาสทางแดนใต้ของสหรัฐอเมริกา ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องเผชิญกับปัญหาการดูหมิ่นและเหยียดผิว จนตัวเขาเองเริ่มกลายเป็นเด็กมีปัญหา ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถวบ้านที่เคนตักกีจะแนะนำให้เขารู้จักกับกีฬามวย หลังจากเด็กชายเคลย์โกรธที่โดนขโมยจักรยาน

เมื่อฝึกฝนสร้างชื่อในวงการมวยสากลสมัครเล่นด้วยการคว้าแชมป์ระดับรัฐ 6 สมัย และแชมป์ระดับประเทศ 2 สมัย เคลย์ก็ติดทีมชาติไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 1960 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี และคว้าเหรียญทองรุ่นไลต์เฮฟวี่เวตมาครอง

แต่ตำแหน่งแชมป์โอลิมปิกไม่ได้ทำให้สถานการณ์เหยียดผิวที่เขาเผชิญดีขึ้น จนมีเรื่องเล่าว่าเคลย์ผิดหวังกับสังคมอเมริกันจนขว้างเหรียญทองโอลิมปิกทิ้งแม่น้ำโอไฮโอ และตัดสินใจเทิร์นโปรทันที

เคลย์ทำสถิติไร้พ่าย 19 ไฟต์ก่อนขึ้นชกชิงตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตของสภามวยโลก (ดับเบิลยูบีซี) และสมาคมมวยโลก (ดับเบิลยูบีเอ) กับ ซอนนี่ ลิสตัน ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันว่าเขาเป็นมวยหน้าใหม่ไร้ความหวัง

เคลย์สยบเสียงนกเสียงกาด้วยการไล่ถลุงจนลิสตันไม่กล้าออกจากมุมในยกที่ 7 คว้าชัยชนะมาครอง พร้อมประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัด อาลี และหันไปนับถือศาสนาอิสลามแทน

อาลีแขวนนวมอย่างเป็นทางการในปี 1981 พร้อมสถิติชนะ 61 ครั้ง ชนะ 56 (ชนะน็อก 37) แพ้ 5 แต่สิ่งที่สังคมโลกและสังคมอเมริกันจดจำได้ไม่แพ้ลีลา “พลิ้วไหวเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง” ของเขา ก็คือบทบาทการเรียกร้องสิทธิให้คนผิวสีและการต่อต้านสงคราม

2

อาลีเคยโดนดำเนินคดีฐานหนีทหาร เมื่อไม่ยอมเข้าร่วมกองทัพไปทำสงครามเวียดนามในปี 1967 ด้วยเหตุผลว่า เขาไม่คิดจะเข่นฆ่าพวกเวียดกงที่ไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย ยอดมวยดังต่อสู้ทางกฎหมายจนสามารถยกเลิกโทษแบนและได้เข็มขัดแชมป์โลกคืนมา ทั้งยังทำให้สังคมตื่นตัวตั้งคำถามเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสงคราม

หลังแขวนนวมได้ 3 ปี แพทย์วินิจฉัยว่าอาลีป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน เขาจึงค่อยๆ หายหน้าจากสาธารณะ กระทั่งถึงโอลิมปิกเกมส์ 1996 ที่เมืองแอตแลนตา สหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพ อาลีเรียกเสียงฮือฮาด้วยการปรากฏตัวในฐานะผู้จุดคบเพลิง

กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เรียกน้ำตาผู้ชม เพราะไม่มีใครคาดว่าจะได้เห็นเจ้าของฉายา “ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” (Greatest of All Time-GOAT) อีกครั้ง!

อาร์โนลด์ พัลเมอร์
(10 กันยายน 1929-25 กันยายน 2016)

ไม่กี่วันก่อนการแข่งขันศึกกอล์ฟประเพณี ไรเดอร์คัพ 2016 จะเปิดฉาก อาร์โนลด์ พัลเมอร์ หนึ่งในเสาหลักของวงการกอล์ฟสหรัฐและของโลกก็จากไปอย่างสงบด้วยวัย 87 ปี ที่โรงพยาบาลในเมืองพิตต์สเบิร์ก ด้วยสาเหตุเกี่ยวกับโรคหัวใจ

“อาร์นี่” อาจไม่ใช่นักกอล์ฟที่คว้าแชมป์มากที่สุด หรือทำเงินรางวัลสะสมสูงสุด แต่เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้พลิกโฉมวงการกอล์ฟให้กลายเป็นกีฬาที่มีเงินรางวัลมหาศาลเหมือนเช่นในปัจจุบัน เนื่องด้วยสมัยก่อนนั้น สังคมอเมริกันและทั่วโลกมองกอล์ฟเป็นกีฬาของพวกผู้ดีหรือคนมีเงิน เป็นกีฬาอีกระดับที่ชนชั้นกลางหรือชนชั้นล่างไม่ค่อยได้สัมผัส จึงนิยมเล่นกันเฉพาะในวงแคบๆ เท่านั้น กระทั่งอาร์นี่ปรากฏตัวในวงการ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะเขามีคุณสมบัติตรงข้ามกับนักกอล์ฟในความเชื่อของทุกคนอย่างสิ้นเชิง

อาร์นี่เกิดและเติบโตในชุมชนชั้นกรรมาชีพที่รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนจะเล่นกอล์ฟจริงจัง เคยสังกัดหน่วยป้องกันชายฝั่งสหรัฐอยู่นาน 3 ปี เขาจึงมีบุคลิกห่ามๆ ห้าวๆ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หุ่นมีมัดกล้าม แถมยังมีเสน่ห์และความเท่ชนิดหาตัวจับยาก

เรียกว่ายุคนั้น สาวน้อยสาวใหญ่ต่างก็กรี๊ดกร๊าด ขณะที่บรรดาหนุ่มๆ พยายามแต่งตัวเลียนแบบเพราะอยากจะเท่ให้ได้อย่างนั้นบ้าง การปรากฏตัวของเขาทำให้ภาพลักษณ์ของวงการกอล์ฟเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จนกล่าวได้ว่าเขาคือ “ซุปเปอร์สตาร์” คนแรกของวงการนี้อย่างแท้จริง

หลังจากอาร์นี่โด่งดังจนมีแฟนติดตามล้นหลาม (และถูกขนานนามว่า “กองทัพของอาร์นี่”) บรรดาสปอนเซอร์ต่างก็เข้ามารุมล้อมทั้งตัวอาร์นี่เองและตัวการแข่งขัน เงินรางวัลจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น และกอล์ฟกลายเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในวงกว้างในที่สุด

3

ไม่ใช่แค่ความโด่งดังอย่างเดียว ผลงานตลอด 52 ปีที่อาร์นี่โลดแล่นในวงการจนถึงปี 2006 ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เขาคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ 62 รายการ ในจำนวนนี้เป็นแชมป์ระดับเมเจอร์ถึง 7 ครั้ง

ด้วยความโดดเด่นทั้งในและนอกสนามดังกล่าว แฟนๆ และสื่อจึงพร้อมใจกันตั้งฉายาเขาว่า “เดอะ คิง” ซึ่งการเสียชีวิตของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมกอล์ฟสหรัฐมุ่งมั่นมากขึ้นหลายเท่าในการทวงแชมป์ไรเดอร์คัพคืนจากยุโรปให้ได้

และเมื่อทำได้สำเร็จ ริคกี้ ฟาวเลอร์ สมาชิกหนุ่มของทีม ผู้จะเป็นกำลังหลักให้สหรัฐไปอีกนานก็เป็นคนนำถ้วยรางวัลนี้ไปร่วมพิธีไว้อาลัยของอาร์นี่ที่จัดขึ้นหลังการแข่งขัน

เป็นการอำลาตำนานผู้ยิ่งใหญ่อย่างสมเกียรติที่สุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image