บริเวณชายแดนของประเทศนั้น นับว่าเป็นเขตแดนหนึ่งที่ถ้าหากใครได้ไปเยือน หรือว่าสัมผัสแล้วนั้น จะรู้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาษา, วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีแต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้คนเหล่านั้นได้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่มีปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงนั้น คงต้องยกให้กับการก่อตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนขึ้น
นับว่าเป็นโชคดีของประชาชนชาวไทยที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชนเสมอมา หลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเยี่ยมเยียนชาวเขา จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินที่มีผู้ทูลเกล้าฯถวายโดยพระราชกุศล ให้กับตำรวจตระเวนชายเเดนเพื่อนำไปจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายเเดนขึ้นมาในปี พ.ศ.2499
นอกจากนี้ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการทรงงานแทนในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกทั้งยังทรงสืบทอดแนวพระราชดำริ ทรงปกป้องดูแลและรับผิดชอบงานโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนอย่างเต็มที่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงคอยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ตลอด ด้วยพระอัจฉริยภาพทรงสามารถบูรณาการทั้งศาสตร์และศิลป์ร่วมกันอย่างแยบยล ทำให้คุณภาพชีวิตของนักเรียน ครอบครัว และครูโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ได้อยู่อย่างมีความสุข
แน่นอนว่าการอยู่ตามแนวชายแดนนั้นถือว่าเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลการดูแล ไม่ได้รับการบริการขั้นพื้นฐานจากรัฐบาลมากนัก แต่พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินงานโครงการพัฒนาต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียน และประชาชนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 เป็นต้นมา
สำหรับโครงการพระราชดำริในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายเเดนทั้ง 8 โครงการนั้นประกอบด้วย โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน, โครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน, โครงการส่งเสริมโภชนาการเเละสุขภาพอนามัยเเม่เเละเด็กในถิ่นทุรกันดาร, โครงการส่งเสริมคุณภาพการศึกษา, โครงการนักเรียนในพระราชานุเคราะห์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, โครงการฝึกอาชีพ, โครงการส่งเสริมสหกรณ์ และโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเเละสิ่งเเวดล้อม
โดยทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนก่อนจะส่งต่อไปถึงประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ยังผลให้ทุกคนนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากที่ทุกคนได้ดำเนินตามโครงการพระราชดำริจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว สิ่งต่อมาก็คือการมอบสุขภาพที่ดีให้กับเด็กๆ ทุกคน “กรมพลศึกษา” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องของกีฬาเพื่อมวลชนนั้น จึงได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเกิดขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.2554 เป็นต้นมา
“กรมพลศึกษาเป็นสังกัดในหน่วยงานกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีพันธกิจในการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและเยาวชนได้มีการออกกำลังกายเล่นกีฬากันทั้งประเทศ ฉะนั้นโรงเรียนกีฬาตำรวจตระเวณชายแดนก็เป็นอีกพันธกิจหนึ่งที่กรมพลศึกษาจะต้องดูแลเพื่อให้มีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กๆ ได้มีโอกาสได้ออกกำลังกายเล่นกีฬาและที่สำคัญที่สุดคือการปลูกฝังเรื่องความรักและความสามัคคีมีประสบการณ์ในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข” ดร.ปัญญา หาญลำยวง รองอธิบดีกรมพลศึกษา กล่าว
ขณะที่ พล.ต.ต.เทพ อมรโสภิต รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดการแข่งขันกีฬานั้นเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้รู้จักการออกกำลังกาย รักการเล่นกีฬา อันเป็นการวางรากฐานให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ซึ่งการแข่งขันกีฬาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 25-29 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น นับได้ว่าเป็นโอกาสที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ได้ก่อตั้งมาครบ 60 ปีนั้น จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จไปเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการแข่งขันเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม
และนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มีการเชิญคณะอาจารย์และนักเรียน โรงเรียนเด็กกำพร้าและวัฒนธรรมชนเผ่า หลัก 67 ประเทศลาว จำนวน 40 คน เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในครั้งนี้ ร่วมกับนักเรียนอีก 2,540 คนจาก 207 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศ ซึ่งโรงเรียนเด็กกำพร้าและวัฒนธรรมชนเผ่า หลัก 67 เป็นโรงเรียนที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเยี่ยม และพระราชทานโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กนักเรียน เช่นเดียวกับโรงเรียนตำรวจตระเวนชายในประเทศไทย
จันดา แก้วพักดี ผู้อำนวยการโรงเรียนเด็กกำพร้าและวัฒนธรรมชนเผ่า หลัก 67 และหัวหน้าคณะนักกีฬาลาว เปิดเผยว่า ภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และทางโรงเรียนตนได้รับการอุปถัมภ์จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว และในการแข่งขันในครั้งนี้ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรก ก็ได้รับการอุปถัมภ์จาก บก.ตชด.ภาค 2 จ.อุดรธานี คิดว่าครั้งหน้าถ้ามีโอกาสก็จะเข้าร่วมอีกไม่ว่าจะแข่งแพ้หรือชนะก็ยังอยู่ในคำขวัญที่ว่ามิตรภาพเหนือชัยชนะผูกพันเหนือพรหมแดน
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากการแข่งขันคือเด็กทุกคนที่มาเข้าแข่งขันนั้นมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันเป็นอย่างดี อีกทั้งทุกคนยังมีน้ำใจนักกีฬา ไม่มีการประท้วงผลการแข่งขันกันแต่อย่างใด ทุกคนมีความรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัยกัน นอกจากนี้เด็กทุกคนยังเต็มใจที่จะมาเข้าแข่งขัน อย่างกีฬากรีฑาบางคนยังใช้เท้าเปล่าลงแข่งขันด้วยซ้ำ
สำหรับอนาคตของการแข่งขันกีฬาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนนั้น ดร.ปัญญากล่าวว่า กรมพลศึกษานั้นพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้กับ เด็กจากโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ได้มีโอกาสมาแข่งขันกีฬามากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มชนิดกีฬาเข้ามา โดยจะปรึกษากับ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนเสียก่อน ว่าในแต่ละพื้นที่เด็กๆ ชอบเล่นกีฬาชนิดใดบ้าง
“นอกจากนี้ จากที่ได้มีโรงเรียนเด็กกำพร้าและวัฒนธรรมชนเผ่า หลัก 67 ประเทศลาวเข้ามาร่วมแข่งขันแล้วนั้น ในครั้งต่อไปก็หวังว่าจะมีมามากขึ้น โดยที่รู้อาจจะมีจากประเทศกัมพูชาเข้ามาร่วมด้วยอีกประเทศหนึ่ง” ดร.ปัญญากล่าว
แม้ว่าเด็กๆ ที่อยู่ตามชายแดนอาจจะไม่มีใครสนใจมากนัก แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทั้งชีวิตการเป็นอยู่ และเมื่อสุขภาพเองก็ดีด้วยแล้ว เชื่อว่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเองก็เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่พร้อมจะผลิตบุคลากรชั้นดีมาประดับประเทศได้เช่นกัน