แฟรงก์ แลมพาร์ด อดีตตำนานมิดฟิลด์สโมสร “สิงห์บลู” เชลซี และทีมชาติอังกฤษ ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการด้วยวัย 38 ปี เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์
“แลมพ์ส” เริ่มเล่นให้ทีมเยาวชนและทีมชุดใหญ่ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนย้ายมาโด่งดังกับเชลซีระหว่างปี 2001-2014 ในฐานะกองกลางที่ยิงไกลได้อย่างมากมาย พร้อมกวาดแชมป์รายการสำคัญกับทีมสิงห์บลูถึง 13 ครั้ง
แบ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 สมัย, แชมป์เอฟเอคัพ อังกฤษ 4 สมัย, แชมป์ลีกคัพ อังกฤษ 2 สมัย, แชมป์การกุศลคอมมิวนิตี้ชิลด์ อังกฤษ 2 สมัย, แชมป์ยุโรปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย และแชมป์ยุโรปยูโรป้าลีก 1 สมัย
ก่อนย้ายไปทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในบั้นปลายอาชีพการค้าแข่ง และย้ายต่อไปยังสโมสรในสาขาเดียวกันกับแมนฯ ซิตี้ อย่างนิวยอร์ก ซิตี้ ในศึกเมเจอร์ลีก ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วเพิ่งหมดสัญญากับฝ่ายหลังช่วงปลายปี 2016
แลมพาร์ดแถลงข่าวแขวนสตั๊ดผ่านสื่อโซเชียลมีเดียส่วนตัวว่า หลังมี 21 ปีที่สุดยอดกับการเล่นฟุตบอล จึงตัดสินใจยุติการเป็นนักบอลอาชีพ และภาคภูมิใจกับทุกความสำเร็จที่ได้มาเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับการเล่นให้ทีมชาติอังกฤษบ้านเกิดไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง และทำประตูในชีวิตกว่า 300 ลูก
นอกจากนี้ แลมพาร์ดที่ลงเล่นให้เชลซี 648 นัดจากทุกรายการ สูงสุดอันดับ 4 ตลอดกาล อีกทั้งยังสามารถทำประตูให้ทีมสิงห์บลูได้ถึง 211 ลูก ทั้งที่เล่นในตำแหน่งกองกลาง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ 111 ปีของสโมสร ยังกล่าวถึงอดีตทีมเก่าตัวเองว่า หัวใจตัวเองอยู่ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ หลังเคยมีความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ร่วมกันมากมาย และยากที่จะกล่าวขอบคุณทุกคนที่เคยช่วยเหลือตัวเองมาตลอดระยะเวลา 13 ปีได้ครบทุกคนที่เชลซี
โดยแลมพาร์ดเคยเล่นให้เวสต์แฮม 187 นัด ทำได้ 39 ประตู, สวอนซี ซิตี้ 9 นัด 1 ประตู ด้วยสัญญายืมตัว, แมนฯ ซิตี้ 38 นัด 8 ประตู, นิวยอร์ก ซิตี้ 31 นัด 15 ประตู และทีมชาติอังกฤษ 106 นัด 29 ประตู
