แมนฯ ยูไนเต็ด ยังพอมีลุ้นท็อปโฟร์ แต่ผมว่าไฮไลต์จริงๆ ของปีศาจแดง น่าจะไปอยู่ในบอลถ้วยซะมากกว่า
แมนฯ ยู มีสิทธิเป็นราชาบอลถ้วยในฤดูกาลนี้ อย่างน้อยก็ควรได้ 1 แชมป์ โดยเฉพาะ ลีกคัพ ที่จะชิงกับ เซาแธมป์ตัน ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
ส่วน ยูโรป้าลีก กับ เอฟเอคัพ ทีมของ โจเซ่ มูรินโญ่ ก็ไปได้สวย ถ้วยหลังนี้จะลงเตะรอบ 5 บุกไปเยือน แบล๊กเบิร์น ในวันอาทิตย์
สิ่งที่ ปีศาจแดง หนักใจที่สุด ไม่ใช่ฝีเท้าคู่ต่อสู้ แต่เป็นโปรแกรมเตะสุดโหด ต้องลงแข่ง 2 นัดในรอบ 4 วัน วันพฤหัสเพิ่งหวดยูโรป้าลีกกับ แซงต์-เอเตียน ได้พัก 2 วัน ก็ต้องฉะกับแบล๊กเบิร์นอีกแล้ว
เรื่องนี้ ทำมูรินโญ่ เซ็งเป็ด แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ นอกจากเปลี่ยนทีมตัวเอง โรเทชั่น กันไปให้เหมาะสมกับเกมแต่ละนัด
ถ้ายูไนเต็ดเกิดเข้าชิงทั้งยูโรป้าลีก ทั้งเอฟเอคัพ ก็ต้องทำใจว่า ฤดูกาลนี้ต้องลงเตะถึง 65 นัด!
เอาแค่อาทิตย์นี้ ก็ปรับทีมกันวุ่นแล้ว โชคดีที่แบล๊กเบิร์นไม่อยู่ในสภาพที่จะมาสร้างเซอร์ไพรส์ ทีมกุหลาบไฟอาการย่ำแย่ จมอยู่รองบ๊วยแชมเปี้ยนชิพ งานหลักคือหนีตกชั้น ผลงานในบอลถ้วยเป็นแค่โบนัสให้แฟนๆ ได้ลุ้นสนุกๆ เท่านั้นเอง
แบล๊กเบิร์นตอนนี้ ป่วนถึงขนาดกำลังจะปลดกุนซือ โอเว่น คอยล์ ดูสภาพแล้ว แมนฯ ยู น่าจะผ่านเข้ารอบตามฟอร์ม ไม่ว่าจะส่งชุดไหนลงสนามก็ตาม
ทีมพรีเมียร์ลีกที่น่าห่วงมากกว่าคือ เลสเตอร์
ฝูงจิ้งจอกอาการหนักในลีก ต่างจากบอลถ้วยที่ไปได้เรื่อยๆ แต่เมื่อย่างเข้า 3 เดือนสุดท้าย ทุกอย่างจะเริ่มผสมรวมกัน ส่งผลกระทบต่อกันมากขึ้น
ถ้ารวมกันในแง่ดี มันก็โอเค แต่ถ้ากลับเป็นอีกมุม ก็ตัวใครตัวมัน
ผมเป็นห่วงเลสเตอร์มาก เพราะ รานิเอรี่ ยังปรับทีมให้ดีขึ้นไม่ได้เลย แล้ว 3 นัดที่เหลือของเดือนนี้ ก็ล้วนเป็นเกมสำคัญ อาจมีผลกระทบถึงกันทั้งสิ้น
เสาร์นี้บุกเยือน มิลวอลล์ ทีมลีกวันในเอฟเอคัพ วันพุธเยือน เซบีญ่า ทำศึกแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมนัดแรก จากนั้นวันจันทร์หน้า กลับมาเล่นพรีเมียร์ลีกกับ ลิเวอร์พูล
เลสเตอร์เหนือกว่ามิลวอลล์เยอะ แต่ด้วยฟอร์มที่เอาแน่นอนไม่ได้ บวกกับการโรเทชั่น พักตัวหลักเตรียมไว้เจอเซบีญ่า จะทำให้เกิดเป็นความไม่แน่นอนขึ้นมา
ไม่อยากจะคิดว่า ถ้าวันเสาร์เกิดพลาด นักเตะจะทานแรงกดดันไม่ให้กระทบกับ 2 นัดต่อไปได้แค่ไหน
บางที เลสเตอร์จะอยู่หรือไป อาจอยู่ที่ 3 เกมสุดท้ายของเดือนนี้