จากกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกาศหลักเกณฑ์ Must Have (มัสต์แฮฟ) เมื่อปีพ.ศ.2555 กำหนดให้การแข่งขันมหกรรมกีฬาสำคัญของโลก เช่น ซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, โอลิมปิกเกมส์ รวมไปถึง ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ต้องให้มีการออกอากาศผ่านทางฟรีทีวีเท่านั้น ซึ่งบริการทีวีระบบบอกรับสมาชิกก็จะสามารถดูผ่านช่องฟรีทีวีได้เช่นกัน ส่งผลให้ขณะนี้ยังไม่มีบริษัทเอกชนช่องไหนยื่นซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย ที่คาดว่ามีตัวเลขสูงกว่า 2,000 ล้านบาท เพราะเกรงว่าอาจไม่คุ้มต่อการลงทุน
“บิ๊กเสือ” สกล วรรณพงษ์ ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ให้สัมภาษณ์กับมติชนออนไลน์ ว่า กกท. ในฐานะหน่วยงานของรัฐ อยากจะซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย มาให้คนไทยได้ดู เพื่อทำให้พี่น้องชาวไทยมีความสุข ขณะนี้อยู่ระหว่างติดต่อกับตัวแทนสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ที่ดูแลเรื่องลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกโดยตรง และขอเวลาให้ตนได้ศึกษาข้อมูลก่อนว่าค่าลิขสิทธิ์ราคาเท่าไหร่ รวมถึงมีแผนที่จะเสนอเรื่องไปยังรัฐบาลด้วย ขณะที่เงินในการซื้อลิขสิทธิ์จะมาจากหลายส่วนทั้ง ภาครัฐ และเอกชน
“โดยช่อง ทีสปอร์ต จะเป็นสถานีหลักในการซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 และพร้อมแชร์ต่อให้ทุกช่อง ซึ่งการที่ กกท. เป็นหน่วยงานของรัฐ จะทำให้การติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 ไม่น่าจะติดปัญหาอะไร ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า มีทีวีช่องอื่น สนใจซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2018 ด้วยนั้น ผมไม่ทราบ”
“ตอนนี้ขอเวลาศึกษาหน่อย เพราะจะต้องใช้เงินซื้อลิขสิทธิ์เป็นเงินจำนวนหลักพันล้านบาท แต่ผมมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนกับการที่ กกท. ผลักดัน จนทำให้ประเทศไทยได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบรายการโมโตจีพี ขอยืนยันว่าพี่น้องคนไทยจะได้ดูฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย อย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาจอดำด้วย” นายสกล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับ การแข่งขันมหกรรมกีฬา 7 รายการสำคัญที่อยู่ในกฎ Must Have ตามประกาศของ กสทช. มีดังนี้ 1.ซีเกมส์, 2.อาเซียนพาราเกมส์, 3.เอเชี่ยนเกมส์, 4.เอเชี่ยนพาราเกมส์, 5.โอลิมปิกเกมส์, 6.พาราลิมปิกเกมส์ และ 7.ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย
