เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2559 ที่ชุณาภารีสอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ ดร.กิตติพงษ์ โพธิมู อธิบดีกรมพลศึกษา เป็นประธานในพิธีปิดและมอบเกียรติบัตรโครงการสร้างพลังใจสู่เด็กพิการไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 1 โดยมีนายประมวล พลอยกมลชุณห์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมด้วย
กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือในพระบรมราชินูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ และสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ จัดโครงการสร้างพลังใจสู่เด็กพิการไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 1 เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพของเด็กพิการที่เป็นอนาคตของชาติ โดยใช้กิจกรรมนันทนาการเพื่อสร้างพลังใจสู่เด็กพิการไทย เพื่อพัฒนาทักษะความสามารถในการอยู่ร่วมกันและการพัฒนาคุณภาพชีวิตรวมถึงการส่งเสริมสุขภาพกาย สุขภาพจิต อารมณ์ สติปัญญา และทักษะการใช้ชีวิตในสังคม ตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้เจริญเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและประเทศชาติต่อไป โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-12 มีนาคม 2559 มีนักเรียนที่บกพร่องทางการมองเห็น การได้ยิน และสติปัญญา รวมถึงวิทยากรจำนวน 160 คน จาก 12 โรงเรียนทางภาคเหนือ ประกอบด้วย โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือฯ, โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร, โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดตาก, โรงเรียนแพร่ปัญญานุกูล, โรงเรียนกาวิละอนุกูล, โรงเรียนพิจิตรปัญญานุกูล, โรงเรียนเชียงรายปัญญานุกูล,โรงเรียนพิษณุโลกปัญญานุกูล และโรงเรียนน่านปัญญานุกูล ร่วมโครงการ
สำหรับโครงการสร้างพลังใจสู่เด็กพิการไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 1 มีกิจกรรมนันทนาการที่สร้างเสริมทักษะในด้านการฟัง การคิด การสังเกต รวมถึงฝึกฝนทักษะด้านความสามัคคี สร้างความเป็นผู้นำ มีความคิดริเริมและวางแผนในด้านต่างๆ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การเปิดโลกทรรศน์การเรียนรู้ใหม่ด้วยการเข้าชมสัตว์และการแสดงในสวนสัตว์เชียงใหม่แล้วมานำเสนอด้วยการวาดรูปสิ่งที่ได้เห็น สัมผัส และรับรู้จากการทัศนศึกษา, กิจกรรมการละลายพฤติกรรม, กิจกรรมเข้าจังหวะ, และกิจกรรมเกมเพื่อพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ เป็นต้น
ดร.กิตติพงษ์ โพธิมู อธิบดีกรมพลศึกษา เผยถึงโครงการฯนี้ว่า “กรมพลศึกษา เล็งเห็นถึงความสำคัญของกลุ่มบุคคลพิเศษและผู้ด้อยโอกาส รวมถึงผู้พิการ จึงได้จัดสรรงบประมาณมาใช้ทำโครงการสร้างพลังใจสู่เด็กพิการไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 1 เพื่อให้เด็กผู้พิการได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันและได้พบเจอกัน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่นำไปสู่พัฒนาการทางด้านความคิด ความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันในสังคม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสและเปิดโลกทรรศน์ให้เด็กๆ เหล่านี้ด้วย”
