“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2017-18 ที่ทิ้งขาดอันดับ 2 “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนนจากการเตะ 24 นัดเท่ากัน และเหลือเกมให้ลุ้นอีก 14 นัด ซึ่งพลาดตัวอเล็กซิส ซานเชซ แนวรุกฝีเท้าดีจาก “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล อีกหนึ่งทีมร่วมลีก เนื่องจากโดนแมนฯ ยูไนเต็ด ปาดหน้าแย่งซื้อตัวในตลาดซื้อขายนักฟุตบอลรอบ 2 เดือนนี้ ทั้งที่เป็นฝ่ายคุยกับตัวนักเตะแทบตลอดเวลานั้น
ล่าสุด “เดลี่ เมล์” สื่อเมืองผู้ดีรายงานเมื่อวันที่ 30 มกราคม หรือ 1 วันก่อนตลาดซื้อขายอังกฤษกลางซีซั่นจะปิดลงเวลา 23.00 น. วันที่ 31 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 06.00 น. เช้าวันต่อมาตามเวลาประเทศไทยว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่คุมแมนฯ ซิตี้ แค่ปีที่ 2 แต่ใช้เงินสร้างทีมแหลกลาญไปแล้วกว่า 460 ล้านปอนด์ (20,700 ล้านบาท / อัตรา 1 ปอนด์ 45 บาท)
หลังเซ็นสัญญาซื้อเอเมอริค ลาปอร์ต เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจากแอธเลติก บิลเบา หนึ่งในทีมเก่าแก่ลาลีก้า สเปน อย่างเป็นทางการด้วยค่าฉีกสัญญา 57 ล้านปอนด์ (2,565 ล้านบาท) สดๆ ร้อนๆ และเป็นค่าตัวนักเตะสูงสุดของสโมสร แม้แนวรับวัย 23 ปียังไม่เคยติดทีมชาติฝรั่งเศสบ้านเกิดชุดใหญ่เลยก็ตาม อาจต้องใช้เงินเป็นสถิติมากสุดทีม 2 ครั้งติด ทว่ามีสิทธิเป็นเม็ดเงินสูงถึงเกือบ 100 ล้านปอนด์ (4,500 ล้านบาท)
เพื่อแลกกับริยาด มาห์เรซ ปีกตัวเก่งเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำเรื่องขอต้นสังกัดขึ้นบัญชีย้ายทีม แต่ทีม “จิ้งจอกสยาม” ซึ่งมีวิชัย ศรีวัฒนประภา นักธุรกิจชาวไทย ผู้ก่อตั้งกลุ่มคิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ที่เข้ามาซื้อทีมเลสเตอร์ ซิตี้ เป็นประธานสโมสร และอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ลูกชาย ทำหน้าที่รองประธานสโมสร ปฏิเสธข้อเสนอซื้อมาห์เรซจากฝั่งทีมเรือใบในราคา 50 ล้านปอนด์ (2,250 ล้านบาท)
เนื่องจากเลสเตอร์ ซิตี้ ต้องการค่าตัวนักเตะทีมชาติแอลจีเรีย ที่กำลังจะมีอายุครบ 27 ปีเต็มปลายเดือนหน้ากุมภาพันธ์ และเคยมีส่วนสำคัญในการระเบิดฟอร์มช่วยทีมจิ้งจอกสยาม สร้างประวัติศาสตร์ และหักปากกาเซียนทุกด้ามบนโลกใบนี้ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งทีมปี 1884 ในราคามากกว่าครึ่งร้อยล้านปอนด์เกือบ 1 เท่าตัว หรือใกล้เคียงกับหลัก 100 ล้านปอนด์
