ศึกฟุตบอลถ้วย “เอฟเอคัพ อังกฤษ” ฤดูกาล 2017-18 เมื่อวันที่ 21 เมษายน เป็นเกมรอบรองชนะเลิศ คู่แรก ปรากฏว่า “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์ 2 ซีซั่นก่อน และแชมป์ 12 สมัย มากสุดอันดับ 2 ตลอดกาล แซงชนะ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แชมป์ 8 สมัย ซึ่งไม่ได้แชมป์รายการนี้มาตั้งแต่ปี 1991 ด้วยสกอร์ 2-1 ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แม้ 11 นาทีแรก แมนฯ ยูไนเต็ด จะโดนสเปอร์สออกนำไปก่อน 1-0 จากการชาร์จเสาสองโล่งๆ ของเดเล่ อัลลี แต่ทีมพลิกคว้าชัย 2-1 ด้วยลูกโหม่งเล่นทางตีเสมอ 1-1 ของอเล็กซิส ซานเชซ อดีตกองหน้า “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล คู่แค้นตลอดกาลของไก่เดือยทอง นาที 24 ตามด้วยการสอดขึ้นมายิงลูก 2-1 จากแถวสองของอันเดร์ เอร์เรร่า นาที 62
จบเกม ปีศาจแดงกลับมาชนะสเปอร์ส 2-1 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ครั้งที่ 20 ในประวัติศาสตร์สโมสร ส่วนไก่เดือยทองพลาดท่าในรอบตัดเชือกรายการนี้เป็นครั้งที่ 8 ติดต่อกัน
ด้านโจเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งคุมแมนฯ ยูไนเต็ด เป็นปีที่ 2 และใช้เงินซื้อนักเตะไปแล้วกว่า 300 ล้านปอนด์ (13,500 ล้านบาท / อัตรา 1 ปอนด์ 45 บาท) เปลี่ยนเป็นแชมป์ลีกคัพ อังกฤษ และยูโรป้าลีก ซีซั่นก่อน ขณะที่ฤดูกาลนี้ มีลุ้นพาทีมจบตำแหน่งรองแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แก้ตัวจากปีแรกที่นำทัพจบเกมลีกต่ำถึงอันดับ 6 เลวร้ายสุดเป็นลำดับ 2 ในรอบ 28 ปี
แถมแฟนบอลตัวเองจำนวนมาก ยังไม่พอใจที่ “เดอะ สเปเชียล วัน” เปลี่ยนแปลงการเล่นที่เน้นเกมบุกในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นการเน้นเกมรับ จนถูกเสียงส่วนใหญ่ตำหนิอย่างหนักยืนยันว่า ด้วยผลงานที่ปีศาจแดงผ่านเข้าชิงรายการฟุตบอลถ้วยได้ถึง 4 ครั้งใน 3 ปีหลังสุด การที่นักวิเคราะห์เกมลูกหนัง หรือใครก็แล้วส่งเสียงติติงทีมเป็นเรื่องที่เกินความเป็นจริง
