สกู๊ปพิเศษ : ‘จอดรถบัส’ สไตล์ ‘คล็อปป์’ และ ‘เป๊ป’

เยอร์เก้น คล็อปป์ และเป๊ป กวาร์ดิโอล่า (ภาพ Reuters)

เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่บิ๊กแมตช์ระหว่าง 2 ทีมลุ้นแชมป์ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงเอยด้วยผลเสมอ 0-0 แบบพลิกความคาดหมายของแฟนๆ ประมาณหนึ่ง

เนื่องด้วยเกมนี้ต่อให้ต่างฝ่ายต่างต้องระวังกันเป็นพิเศษ แต่ด้วยความเป็นทีมที่มีเกมบุกน่าตื่นตาตื่นใจทั้งคู่ หลายคนจึงคาดเดาว่า ต่อให้ลงเอยด้วยผลเสมอ อย่างน้อยก็น่าจะมีประตูเกิดขึ้นบ้าง เพราะเจอกันในเกมลีก 2 นัดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว สองทีมนี้ยิงรวมกันไปถึง 12 ประตู!

สำหรับผลเสมอแบบไร้สกอร์ในเกมนี้ เว็บไซต์ ฟุตบอล วิสเพอร์ส ได้วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า บางทีนี่อาจจะเป็นการ “จอดรถบัส” ในแบบของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือเรือใบสีฟ้า และ เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือหงส์แดงที่ต่างเคยประกาศไว้ชัดเจนว่า ไม่คิดและทีมของพวกเขาก็จะไม่เล่นในสไตล์ “จอดรถบัส” เป็นอันขาด

เท้าความถึงที่มาที่ไปของฟุตบอลสไตล์นี้กันก่อนว่า คนที่ริเริ่มใช้คนแรกคือ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุกีสสมัยคุม เชลซี เตะกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในเกมลีกเมื่อเดือนกันยายนปี 2004

Advertisement
โชเซ่ มูรินโญ่ (ภาพ Reuters)

ตอนนั้นสิงห์บลูของมูรินโญ่เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บ เน้นสไตล์เกมรุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ ต่อให้ไม่บุกก็ยังกดดันคู่ต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกำลังเงินของเจ้าของ โรมัน อับราโมวิช เป็นแรงขับเคลื่อน จนก้าวไปคว้าแชมป์แรกในรอบครึ่งศตวรรษในปีนั้น

แต่ปรากฏว่าพอเจอแทคติกตั้งรับของสเปอร์สจนทำได้แค่เสมอ 0-0 มูรินโญ่จึงบ่นว่า “ในโปรตุเกส เรามักพูดกันว่า พวกเขาเอารถบัสมาด้วย แล้วจอดมันไว้หน้าประตู”

อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น คำพูดดังกล่าวก็มาย้อนเข้าตัว เพราะเป็นมูรินโญ่เองที่เน้นใช้แผนการเล่นตั้งรับเต็มรูปแบบ เน้นผลการแข่งขันเป็นหลัก บ่อยครั้งที่ทำให้แฟนบอลเบื่อ จนคำว่า “จอดรถบัส” (Park the bus) กลายมาเป็นสไตล์การเล่นฟุตบอลที่ราวกับเขาเป็นผู้ให้กำเนิด

Advertisement

กลับมาที่เกมบิ๊กแมตช์ระหว่างหงส์และเรือเมื่อไม่กี่วันก่อน แน่นอนว่าด้วยรูปเกมวันนั้น ทั้ง 2 ทีมไม่ได้เข้าข่ายการเล่นตั้งรับเต็มสูบจนเข้าขั้นน่าเบื่อ ไม่ใช่สไตล์จอดรถบัสแท้ๆ แบบที่มูรินโญ่นิยมใช้ แต่ถ้าเราตีกรอบแนวคิดแค่ว่า การจอดรถบัสคือการเน้นครองบอล และการเล่นแบบระวังตัวว่าจะเสียประตูมากกว่าจะมุ่งทำประตูฝ่ายตรงข้าม อาจจะถือว่าคล็อปป์กับเป๊ปก็เข้าข่ายที่ว่านี้ได้เหมือนกัน

(ภาพ Reuters)

ยกตัวอย่างสถิติการเล่นของแมนฯซิตี้ก่อนหน้าเกมเยือนแอนฟิลด์ แข้งแชมป์เก่าจะมีสถิติครองบอลในพื้นที่ “final third” หรือพื้นที่ 1 ใน 3 ของสนาม หรือในโซนอันตรายหน้าประตูคู่ต่อสู้มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แต่พอมาเจอกับหงส์แดง แข้งซิตี้กลับพยายามผ่านบอลในพื้นที่ดังกล่าวของลิเวอร์พูลเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

หนึ่งในผู้เล่นที่ผ่านบอลมากที่สุดของซิตี้วันนั้นคือกองหลังอย่าง จอห์น สโตนส์ เฉพาะแค่ที่เขาส่งบอลกับ ไคล์ วอล์กเกอร์ ไปมาก็ปาเข้าไป 32 ครั้งแล้ว ขณะที่กองหน้าอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ เซร์คิโอ อากูเอโร่ ส่งบอลไปมากับเพื่อนร่วมทีมทั้งเกมแค่ 34 ครั้งเท่านั้น

เว็บไซต์ฟุตบอล วิสเพอร์ส บอกว่า การที่เป๊ปให้ลูกทีมเล่นกันแบบระวังเนื้อระวังตัวอย่างนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะเป๊ปเคยหลุดความรู้สึกในสารคดีเบื้องหลังความสำเร็จของเรือใบสีฟ้าฤดูกาลที่แล้วตอนหนึ่งว่า เขารู้สึก “กลัว” แนวรุกของหงส์แดง อีกทั้งผลงานการเจอกันในช่วงหลังๆ ซิตี้ก็ดูจะแพ้ทางมาตลอด

อย่างไรก็ตาม การที่เกมนี้ลงเอยด้วยผล 0-0 นั้น ไม่ได้เป็นเพราะเรือใบ “เกร็ง” อยู่ฝ่ายเดียว แต่เป็นเพราะคล็อปป์เองก็เผลอจอดรถบัสโดยไม่รู้ตัว (หรือเปล่า?) เช่นกัน

ย้อนไปเมื่อเดือนมกราคม ตอนซิตี้บุกพ่ายลิเวอร์พูล 3-4 ในเกมลีกฤดูกาลก่อน ตอนนั้นทีมแชมป์ก็พยายามผ่านบอลในพื้นที่ final third แค่ 18 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และสถิติผ่านบอลส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในโซนกองหลังและผู้รักษาประตูเป็นหลัก ผิดกับเจ้าถิ่นที่ถึงจะไม่ได้ครองบอลเยอะเท่า แต่จะเน้นบุกเข้าไปในแดนคู่ต่อสู้เสียเป็นส่วนใหญ่

แต่มานัดนี้เรียกว่าสถิติของสองฝั่งแทบไม่ต่างกันเลย แข้งหงส์แดงพยายามผ่านบอลในพื้นที่ final third แค่ 21 เปอร์เซ็นต์ โดยผู้เล่นที่ผ่านบอลมากที่สุดในทีมคือเซ็นเตอร์ 2 ตัว ตามด้วยการผ่านบอลไปมาระหว่าง อลิสซอน เบ็คเกอร์ นายทวาร และกองหลัง เดยาน ลอฟเรน ขณะที่พื้นที่ครองบอลก็อยู่ในแดนตัวเองเป็นหลัก

จะต่างกันเล็กน้อยก็ตรงที่กองหน้าของหงส์แดงได้บอลมากกว่ากองหน้าของเรือใบ แต่นอกจากนั้นก็แทบไม่มีอะไรต่าง

อาจเป็นเพราะว่าทั้ง 2 ทีมเจอกันเร็วเกินไป ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากเพลี่ยงพล้ำพลาดเสียแต้มให้คู่แข่งสำคัญหนีห่าง เพราะยังอ่านสถานการณ์ไม่ออกว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ไหนจะมีเชลซีเป็นอีกหนึ่งทีมลุ้นแชมป์ที่ประมาทไม่ได้เช่นกัน ก็เลยต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ และ “จอดรถบัส” กันแบบเขินๆ

อันที่จริง เกมนี้น่าจะมีผลแพ้ชนะเกิดขึ้นนั่นแหละ ถ้า ริยาด มาห์เรซ ไม่ดันไปยิงลูกโทษพลาดซะก่อน แต่เมื่อเห็นแล้วว่าเล่นแบบนี้ไม่ได้เสียหายอะไร ก็มีแนวโน้มว่าเจอกันครั้งถัดไป คู่นี้อาจจะงัดแผนเดิมออกมาใช้อีกก็ได้

เป็นการจอดรถบัสแบบไว้เชิงสักหน่อย แต่เจตนาอาจไม่ต่างกัน!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image