| ผู้เขียน | Stivie T |
|---|---|
| เผยแพร่ |
ภาพรวมของฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หลังจากจบสัปดาห์ที่ 30 ในส่วนของหัวตารางนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเป็นที่เรียบร้อย
กลุ่มลุ้นแชมป์เหลืออยู่แค่ม้าเพียง 2 ตัวเท่านั้นคือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ห่างกันอยู่แค่คะแนนเดียว
กับอีกกลุ่มหนึ่งคือลุ้นโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไล่ตั้งแต่อันดับ 3 ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส, อันดับ 4 อาร์เซน่อล, อันดับ 5 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอันดับ 6 เชลซี มีคะแนนห่างกันเพียง 4 คะแนนเท่านั้น
แต่ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องที่น่าบ่นมากที่สุดคงเป็นเรื่องการตัดสินของเชิ้ตดำ ที่มีข้อผิดพลาดให้พูดกันหลายจังหวะเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นประตูเบิกร่องของเรือใบสีฟ้า ในเกมชนะ วัตฟอร์ด 3-1 ซึ่งเกิดจากจังหวะล้ำหน้าของราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ถึงแม้ผู้ช่วยผู้ตัดสินจะยกธงแล้ว แต่กรรมการก็ยังตัดสินใจให้เป็นประตู
อาจจะเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันสักหน่อย ว่าจริงๆ แล้วจะนับว่ากองหลังวัตฟอร์ด เตะมาโดนราฮีมเข้าประตูไปเอง แต่อย่างไรก็ตามจังหวะนี้ราฮีมก็วิ่งมาจากตำแหน่งล้ำหน้าจริงๆ
ประตูนี้ทำให้ซิตี้จากที่เกมฝืดๆ ยังเจาะไม่เข้า กลายเป็นสกอร์ไหลเลย เป็นจุดเปลี่ยนของเกมก็ว่าได้
หรืออย่างในเกมลิเวอร์พูล ประตูแรกที่พวกเขาเสียให้กับเบิร์นลีย์ ก็มาจากจังหวะที่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ โดนผู้เล่นของเบิร์นลีย์รุมกินโต๊ะอยู่ถึง 3 คนในกรอบ 6 หลา แต่อังเดร มาริเนอร์ ก็ปล่อยให้เป็นประตูซะอย่างนั้น แถมอลิสซอนยังโดนใบเหลือง เพราะไปโวยอีกด้วย
ยังดีที่พลพรรคหงส์แดง สามารถรวมใจกลับมาแซงเอาชนะไปได้ ไม่งั้นประตูนี้คงจะต้องเป็นที่ถกเถียงอย่างมากแน่นอน
หรือแม้แต่ในเกมบิ๊กแมตช์ระหว่าง “ปืนใหญ่” กับ “ปีศาจแดง” จังหวะจุดโทษ 2-0 ของอาร์เซน่อล ก็ไม่ใช่จังหวะที่ชัดเจนมากนัก และการให้ปืนใหญ่นำห่างแทบจะปิดโอกาสในการที่ปีศาจแดงจะกลับมาสู่เกมได้เลย
เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น ทุกคนก็มักจะมีคำถามว่าเมื่อไหร่พรีเมียร์ลีก จะใช้ระบบวิดีโอช่วยตัดสิน (วีเออาร์) เสียที ซึ่งก็ต้องรอไปถึงฤดูกาลหน้า หลังจากที่สโมสรร่วมกันโหวตแล้วว่าให้ใช้ระบบนี้ในการแข่งขัน แต่กว่าจะไปถึงฤดูกาลหน้า จะต้องเจอกับความผิดพลาดของผู้ตัดสินอีกนานแค่ไหนกันเชียว
แล้วถ้ามันมีผลไปถึงเรื่องของการตัดสินแชมป์หรือโควต้ายุโรปหล่ะ ผู้เสียผลประโยชน์ จะสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้างไหม
เป็นเรื่องที่น่าสงสัยจริงๆ
