‘ซัวเรซ-คูตินโญ่’ การกลับมาของผู้ที่ไม่ใช่’ตำนาน’

เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ ประจำปีนี้ เชื่อว่าสปอร์ตไลท์จะต้องจับไปยังคู่ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ซึ่งถือเป็นคู่ใหญ่ที่สุดของรอบนี้

ส่วนสำคัญที่คนจับตามองเลยนั่นคือการกลับมาเยือนถิ่นเก่าของทั้ง หลุยส์ ซัวเรซ และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เป็นครั้งแรกถ้านับเฉพาะเกมอย่างเป็นทางการ

ซึ่งตัว เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเฮฟวี่เมทัลของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ออกมาบอกว่า สำหรับทั้งสองคนนั้นแล้วคงจะเป็นอะไรที่พิเศษเพราะทั้งคู่เหมือนเป็นตำนานของลิเวอร์พูล แต่ก็ไม่คิดว่าเกมนี้จะเล่นกันแบบกระชับมิตรแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทางด้านของ เจมส์ เพียร์ซ ซึ่งเป็นนักข่าววงในที่มีชื่อเสียงของลิเวอร์พูล เอ็คโค่ สื่อท้องถิ่นในเมืองลิเวอร์พูลกลับออกมาบอกว่าทั้งสองคน ไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นตำนานของลิเวอร์พูล และสิ่งที่คล็อปป์พูดดูจะเป็นการยกย่องมากไปเสียหน่อย

Advertisement

เพียร์ซ บอกว่า แฟนบอลคงให้การต้อนรับทั้งคู่เป็นอย่างดีจากผลงานที่ผ่านมาที่ทำให้กับทีม แต่คงไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับนักเตะที่ทิ้งทีมไปแบบนี้ ทั้งคู่กลับมาจะได้เห็นว่าทีมนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน หลังจากที่อำลาทีมไป และหงส์แดงเองก็ถูกยกระดับให้เทียบเท่ากับบาร์เซโลน่า ไม่ใช่ทีมรองบ่อนแน่นอน

จริงอยู่ที่ทั้งสองคนอาจจะทำผลงานเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมระหว่างการค้าแข้งในแอนฟิลด์ และควรเก็บมันเอาไว้ในความทรงจำ แต่การที่ทำลายความผูกพันกับเดอะค็อป ปัดโอกาสที่จะขึ้นไปเป็นตำนานของทีม คว้าเหรียญรางวัลและแสดงความจงรักภักดี แต่ทั้งสองคนกลับทำเหมือนลิเวอร์พูลเป็นทางผ่านเท่านั้น

Advertisement

โดยเพียร์ซพูดถึงซัวเรซว่า นักเตะที่มีผลงานที่ดี มักจะทำให้แฟนบอลลืมเรื่องแย่ๆ ไป ซัวเรซทำให้ลิเวอร์พูลต้องตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์หลายต่อหลายครั้งระหว่างที่อยู่กับทีม

คนมองข้ามในเรื่องที่กองหน้าอุรุกวัย ขอขึ้นบัญชีย้ายทีมเมื่อซัมเมอร์ปี 2013 ก่อนที่สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด จะขอร้องให้อยู่กับทีมต่อแล้วก็ระเบิดฟอร์มทำ 31 ประตูในฤดูกาลนั้น แต่ก็รีบย้ายไปบาร์เซโลน่าทันทีหลังไปกัดแขนใส่จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ในฟุตบอลโลก

ซัวเรซทำผลงานกับสโมสรช่วงระหว่าง 3 ปี ด้วยการทำไป 82 ประตู จากการลงเล่น 133 นัด ได้มาเพียงแชมป์เดียวเท่านั้นคือแคปปิตอล วัน คัพ เพียงถ้วยเดียว

ขณะที่ในส่วนของฟิลิปเป้ คูตินโญ่ อาจจะอยู่กับทีมมานานกว่า ยิงได้ 54 ประตูจาก 201 นัด ในช่วงเวลา 5 ปี แต่คูตินโญ่ก็ไม่สามารถพาทีมไปถึงตำแหน่งแชมเปี้ยนได้สักรายการ

นักเตะอย่างคูตินโญ่ อาจจะเป็นพวกออกตัวช้า แต่ก็มีความสำคัญกับทีมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่กลับทำเหมือนซัวเรซคือเลือกที่จะไปจากทีมหลังต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปได้ไม่นานเท่านั้นเอง

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 ลิเวอร์พูลถึงขั้นคุกเข่าขอร้องและปฏิเสธข้อเสนอถึง 3 ครั้ง เพื่อไม่ให้ดาวเตะบราซิเลี่ยนย้ายทีมออกไป แต่เจ้าตัวก็แสดงอาการบาดเจ็บที่หลังแบบน่าพิศวงจากสถานการณ์ที่ไม่ชัดจน ทำให้ไม่ได้ลงสนามจนถึงช่วงที่ตลาดซื้อขายปิดตัวลง

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมันไร้ประโยชน์ก็เพราะไม่กี่เดือนให้หลัง คูตินโญ่ ก็ยังพยายามที่จะย้ายออกไปจากทีม แม้ว่าจะทำให้ตัวเขาพลาดการลงเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในรอบน็อคเอาท์ทั้งหมดที่เหลือก็ตาม

แต่มันก็แลกมากับเงินจำนวนมหาศาลคือ 142 ล้านปอนด์ (รวมโบนัส) ซึ่งมากกว่าข้อเสนอแรกในช่วงซัมเมอร์ถึงเท่าตัว และยังเป็นจำนวนเงินที่บ้าคลั่งมากๆ กับนักเตะที่ย้ายมาร่วมทีมหงส์แดงด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์เท่านั้น เมื่อปี 2013

ตอนที่คูตินโญ่ ย้ายทีมออกไป คล็อปป์ บอกว่า “เรามีทีมที่ใหญ่และแข็งแกร่งพอจะก้าวต่อไปด้วยความดุดันและพัฒนาการในสนามของทีม” ซึ่งประโยคนี้ของเขาถูกพิสูจน์ให้เห็นใน 14 เดือนต่อมานั่นเอง

จริงอยู่ที่ 75 ล้านปอนด์ ตอนขายซัวเรซออกไปอาจจะไม่ได้ประโยชน์เมื่อแลกกับมาริโอ บาโลเตลลี่, ลาซาร์ มาร์โควิช แต่เงินที่ได้จากคูตินโญ่ มันถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด ทั้งการดึงเวอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลิสซง เบ็คเกอร์ เข้ามาร่วมทีม มันทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งขึ้น

ตอนที่คูตินโญ่อำลาทีมไป ทีมเพิ่งจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นหนแรกในรอบ 9 ปี แต่ตอนนี้ลิเวอร์พูลมีลุ้นที่จะเข้าชิงชนะเลิศ 2 ปีติดต่อกัน และก็ยังเหมือนย้อนไปปี 1984 ที่ทีมได้ลุ้นแชมป์ 2 รายการพร้อมๆ กันด้วย

ลิเวอร์พูลคือสโมสรที่นักเตะที่มีพรสวรรค์พร้อมจะเข้ามาสร้างรากฐาน พวกเขาต้องเชื่อว่าสามารถเข้ามาเติมเต็มความฝันที่แอนฟิลด์ ไม่ใช่เป็นทางผ่าน การเป็นตำนานจะต้องมีปีที่ยอดเยี่ยมที่สุดและพาทีมประสบความสำเร็จ แต่ซัวเรซกับคูตินโญ่ ไม่ได้ทำเช่นนั้น

แต่ในตอนนี้ทั้งโม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่, เวอร์กิล ฟาน ไดค์ และทีมงานทั้งหมด กำลังร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์ให้กับเทพนิยายแอนฟิลด์

ส่วนปิดท้ายนี้ขอเติมจาก เจมส์ เพียร์ซ ไปว่า แค่ทั้งสองคนย้ายออกไปแบบไม่มีแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็แทบทำให้ทั้งคู่ หมดคุณสมบัติที่จะเป็นตำนานของทีมไปโดยปริยายแล้วนั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image