สกู๊ป : ย้อนรอย 3 กุนซือมือฉมัง ประเดิมคุมทีมด้วยความพ่ายแพ้

Photo by Getty Images

เส้นทางของ แฟร้งก์ แลมพาร์ด ในการคุมทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี อดีตสโมสรที่เจ้าตัวเคยโชว์เพลงแข้งสุดเจ๋งสมัยเป็นนักเตะ กลับไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบตามที่หลายๆ คนคาดการณ์ไว้ เมื่อประเดิมคุมสิงห์บลูส์อย่างเป็นทางการด้วยความปราชัยแบบยับเยินต่อ “ปีศาจแดง” **แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด** 0-4 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษนัดเปิดสนาม ซีซั่น 2019-20

ล่าสุด แลมพาร์ดต้องพบเจอกับความผิดหวังซ้ำสอง เมื่อแพ้จุดโทษ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 4-5 ในศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2019 เมื่อคืนวันที่ 14 สิงหาคม หลังเสมอกัน 2-2 ใน 120 นาที

อย่างไรก็ตาม นี่คือผลงานเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น แถมยังเป็นงานหนักกับคู่ปรับบิ๊ก 6 เสียด้วย หากวันพระไม่ได้มีหนเดียว โอกาสที่แลมพาร์ดจะพลิกวิกฤตพาเชลซีกลับมาแข็งแกร่งได้ก็ยังไม่หมดไป

จากนี้คือตัวอย่างผู้จัดการทีมมากฝีมือ ที่เริ่มต้นคุมทีมด้วยความพ่ายแพ้ตั้งแต่นัดแรก แต่สามารถพาสโมสรผงาดสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในเวลาต่อมา

Advertisement
Photo by Getty Images

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
(อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด 2-0 แมนฯ ยูไนเต็ด ปี 1986)

เฟอร์กูสัน บรมกุนซือชาวสก็อตต์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 1986 เริ่มต้นคุมทีมนัดแรกด้วยการแพ้ให้กับ อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด 0-2 ด้วยผลงานการทะลวงตาข่ายของจอห์น อัลดริจและนีล สแลตเตอร์ ในศึกดิวิชั่น 1 (ชื่อเดิมก่อนเปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีก)

แต่หลังจากนั้นเฟอร์กูสัน นำปีศาจแดงคืนชีพ และกวาดแชมป์ต่างๆ มากถึง 38 รายการตลอดระยะเวลา 27 ปีในฐานะนายใหญ่ปีศาจแดง ซึ่งรวมถึงพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 13 สมัยกับยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย

Advertisement

ขณะที่อ็อกซ์ฟอร์ดผลงานกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้จะคว้าแชมป์มิลค์คัพในปี 1986 แต่พวกเขากลับตกชั้นจากลีกสูงสุด (ดิวิชั่น 1) ในปี 1988 ก่อนหล่นลงไปเล่นในระดับคอนเฟอร์เรนซ์ (ลีกกึ่งอาชีพ) ในปี 2006 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สโมสรซึ่งเคยคว้าแชมป์ลีกคัพ ต้องตกชั้นมาอยู่ในลีกกึ่งอาชีพเช่นนี้ ส่วนปัจจุบัน อ็อกซ์ฟอร์ด กลับขึ้นมาเล่นอยู่ในลีกวัน (ลีกระดับสามของอังกฤษรองจากพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนชิพ)

คงจะไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า เฟอร์กูสันพ่ายแพ้การต่อสู้ แต่พลิกกลับมาคว้าชนะการทำสงครามครั้งใหญ่

Photo by Getty Images

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า – บาร์เซโลน่า
(นูมานเซีย 1-0 บาร์เซโลน่า ปี 2008)

เป๊ป ออกสตาร์ตการคุมเจ้าบุญทุ่มด้วยการบุกแพ้นูมานเซีย 0-1 ในนัดเปิดฤดูกาลศึกลาลีก้า สเปน 2008-09 โดยที่เกมนั้นมีนักเตะตัวเก่งอย่าง ซามูเอล เอโต้, เธียร์รี่ อองรี รวมถึง ลิโอเนล เมสซี่ ดาวรุ่งอนาคตไกลยืนเป็น 3 ประสานในเกมรุก แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ต้อนรับซีซั่นใหม่ ส่วนเกมนัดต่อมาพวกเขาก็ยังตั้งสติไม่ได้ เมื่อทำได้เพียงการเสมอกับ ราซิ่ง ซานตานเดร์ 1-1

ทว่าหลังจากนั้นเป๊ปพาบาร์ซ่าตื่นจากภวังค์ เค้นฟอร์มแกร่งเก็บชัยชนะในเกมลีกได้ถึง 19 นัดจาก 20 เกมต่อมา และจบซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์ลาลีก้า ด้วยผลงาน ชนะ 27 เสมอ 6 แพ้ 5 มี 87 คะแนน เหนือ รีล มาดริด อันดับ 2 อยู่ 9 แต้ม นอกจากนี้ยังได้แชมป์โกปาเดลเรย์ และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกไปครองในซีซั่นเดียวกัน

แม้เกมแรกจะเปิดตัวไม่สวยเท่าไร แต่สุดท้ายเป๊ปก็ปิดฉากซีซั่นแรกได้อย่างยอดเยี่ยม นับเป็นการประกาศศักดาโค้ชมากฝีมือคนใหม่ในวงการลูกหนัง ก่อนกอบโกยความสำเร็จในเวลาต่อมา

Photo by Getty Images

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส – ลิเวอร์พููล
(เวสต์บรอมวิช 3-0 ลิเวอร์พูล ปี 2012)

“นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าร็อดเจอร์ส ต้องเจองานหนักหนาสุดสุด ในการกู้วิกฤติพาลิเวอร์พูลกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง” ผู้วิเคราะห์เกมฟุตบอลของบีบีซีได้กล่าวไว้ หลังจากจบเกมที่หงส์แดงพ่ายแพ้ เวสต์บรอมวิช แบบยับเยิน 0-3 ในเกมเปิดซีซั่น 2012-13

โดยในเกมดังกล่าว โรเมลู ลูกากู กองหน้าชาวเบลเยียม ยิงประตูแรกในการเล่นพรีเมียร์ลีกของตัวเองได้สำเร็จด้วย

แม้หลังจากนั้นร็อดเจอร์ส จะไม่สามารถพาหงส์แดงเถลิงแชมป์ได้ โดยจบอันดับ 7 ในลีกเท่านั้น แต่ฤดูกาลถัดมา 2013-14 พวกเขาสามารถเค้นฟอร์มเทพ เมื่อทำผลงานได้ใกล้เคียงที่สุดโดยคว้าอันดับ 2 ในศึกพรีเมียร์ลีกด้วยผลงาน 84 แต้ม เป็นรองแชมป์อย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น โดยมี หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าชาวอุรุกวัยเป็นดาวซัลโวของทีมและลีกด้วยผลงาน 31 ประตู

สำหรับ ร็อดเจอร์สประสบความสำเร็จอย่างมากกับ กลาสโกว์ เซลติก โดยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสกอตแลนด์ 2 สมัย, ลีกคัพ 3 สมัย และซุปเปอร์คัพ 2 สมัย ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับสู่ลีกผู้ดี ด้วยการนั่งแท่นผู้จัดการทีม “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

Photo : Reuters

หากตัดภาพมาที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือคนใหม่ในวันที่ 8 ตุลาคม 2015 ก็ต้องพบเจอกับความลำบากเช่นกัน เมื่อเก็บได้เพียง 1 แต้มจากการคุมหงส์แดงลงเล่น 2 นัดแรกในถิ่นแอนฟิลด์ คือเสมอกับ เซาแธมป์ตัน 1-1 และแพ้ คริสตัล พาเลซ 1-2

แต่ 4 ปีต่อมา คล็อปป์ ที่ทุ่มเทคุมทีมด้วยใจอันแรงกล้า ก็พาหงส์แดงสยายปีกความยิ่งใหญ่ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อนำหงส์แดงเข้าชิงศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 ซีซั่นติดต่อกัน และคว้าแชมป์ได้สำเร็จในซีซั่น 2018-19 รวมถึงจบอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลเดียวกันด้วยแต้มสูงถึง 97 แต้ม เป็นรองแมนฯ ซิตี้ทีมแชมป์เพียงแค่ 1 คะแนน พลาดถ้วยแชมป์ลีกในรอบ 29 ปีไปอย่างน่าเสียดาย

Photo : Reuter

บางทีแลมพาร์ดและแฟนเชลซีอาจจะมีกำลังใจมากขึ้น เมื่อเห็นตัวอย่างจากบรรดากุนซือเหล่านี้ว่า การออกสตาร์ตแย่ใช่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นสิ่งที่เลวร้าย เพราะหนทางข้างหน้ายังมีโอกาสปรับปรุง แก้ไข นำพาทีมสู่ความสำเร็จได้ในอนาคต หากไม่ถอดใจกันเสียก่อน

ทว่าฤดูกาล 2019-20 อาจเป็นงานที่หนักหนาสำหรับแลมพาร์ด เนื่องจากไม่สามารถซื้อใครมาเสริมทัพเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของทีมได้เลย ซึ่งปีนี้คงต้องเจอบททดสอบทางจิตใจอีกเยอะ

แต่ถ้าเอาตัวรอดได้จนถึงซีซั่นหน้า มีโอกาสซื้อนักเตะตรงสเปคที่ต้องการใช้งานแล้วล่ะก็ คงเป็นการพิสูจน์ที่แท้จริงแล้วว่า แลมพาร์ด มีกึ๋นการเป็นยอดกุนซือแค่ไหนกัน?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image