ชิคาโก คับส์ กับ 108 ปีที่รอคอย

ข่าวฮอตที่สุดของวงการกีฬาเมืองมะกัน ณ เวลานี้ คงต้องยกให้ตำแหน่งแชมป์ เวิลด์ซีรีส์หรือรางวัลสูงสุดของ เมเจอร์ลีก เบสบอล ซึ่ง ชิคาโก คับส์ ซึ่งเฉือนชนะ คลีฟแลนด์ อินเดียนส์ 8-7 ในเกมชิงดำ นัดที่ 7 หลังเสมอกันมา 3-3 เกม

เหตุที่แฟนกีฬาชาวอเมริกันให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยคับส์มี “คำสาป” ที่เก่าแก่ โด่งดัง และอาถรรพ์ที่สุดคำสาปหนึ่งของวงการกีฬาโลก นั่นคือเรื่องราวของ แพะของบิลลี่ ที่กลายเป็นตำนานเล่าขานในวงการกีฬาโลกมาเนิ่นนาน

จุดเริ่มต้นของตำนาน ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1945 ในศึกเวิลด์ซีรีส์ นัดที่ 4 ที่สนามริกลีย์ฟิลด์ รังเหย้าของคับส์ โดยสถานการณ์หลังผ่าน 3 นัดแรก คับส์นำ ดีทรอยต์ ไทเกอร์ส อยู่ 2-1 เกม

2-1

Advertisement

วันนั้น วิลเลียม “บิลลี่” เซียนิส เจ้าของโรงเตี๊ยมหรือโรงแรมขนาดเล็ก บิลลี่ โกท ทาเวิร์น ซื้อตั๋ว 2 ใบเข้าไปชมเกมในสนาม ใบหนึ่งของเจ้าตัวเอง ส่วนอีกใบเป็นของ “แพะ” สัตว์เลี้ยงแสนรักของแก

ปรากฏว่า บิลลี่กับแพะแสนรักนั่งชมเกมอยู่ได้ 2-3 อินนิ่ง ก็โดนเจ้าหน้าที่เชิญตัวออกจากสนาม เพราะกลิ่นสาบแพะรบกวนแฟนคนอื่นๆ บิลลี่จึงต้องยอมจูงแพะออกจากสนาม ก่อนหันมาโวยใส่เจ้าหน้าที่ด้วยความหงุดหงิดเป็นกึ่งๆ คำแช่งว่า “คับส์จะไม่มีวันได้แชมป์อีกแล้ว”

บางตำราบอกว่า บิลลี่อาจไม่ได้พูดอย่างนั้นตรงๆ แต่บอกทำนองว่าสนามริกลีย์ ฟิลด์ ของคับส์ จะไม่มีวันได้จัดศึกเวิลด์ซีรีส์อีกแล้ว บ้างก็ว่าบิลลี่แช่งคับส์ไม่ให้เข้าชิงอีกต่อไป ขณะที่ ชิคาโก ซัน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น บอกว่า จริงๆ แล้วบิลลี่ไม่ได้รับอนุญาตให้เอาแพะเข้าสนามตั้งแต่แรก จึงต้องผูกมันไว้ด้านหน้า แล้วเข้าไปชมเกมเพียงลำพัง

Advertisement

ส่วนครอบครัวของบิลลี่เองอ้างว่า เขาส่งโทรเลขไปหาเจ้าของทีม บอกว่าคับส์จะแพ้ศึกเวิลด์ซีรีส์ครั้งนั้น และไม่มีวันได้อีกต่อไป เพราะทีมนี้บังอาจดูถูกแพะของเขา

World Series - Chicago Cubs v Cleveland Indians - Game Seven

แต่ไม่ว่าประโยคเป๊ะๆ ของบิลลี่จะเป็นอย่างไร แต่ปรากฏว่าคับส์แพ้เกมวันนั้น ก่อนพ่ายให้ดีทรอยต์ ไทเกอร์ส ในรอบชิงดังกล่าว และหลังจากนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์เวิลด์ซีรีส์อีกเลย (จนกระทั่งปีนี้)

อันที่จริง ก่อนหน้านี้คับส์เคยเป็นแชมป์สูงสุดของวงการเบสบอลอาชีพมา 2 สมัย แต่ต้องย้อนหลังไปถึงปี 1907 และ 1908 หรือก็คือย้อนหลังไปเมื่อ 108 ปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้น ถ้าไม่เพราะทีมไม่ดีพอ ก็มักจะมีโชคร้ายเกิดขึ้น ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่แฟนๆ และสื่อมักจะโยงเหตุการณ์ต่างๆ เข้ากับคำสาปของบิลลี่เมื่อ 71 ปีที่แล้ว

เช่น ในศึกเมเจอร์ลีก ปี 1969 คับส์ไปเยือน นิวยอร์ก เม็ตส์ ในเกมสำคัญที่จะตัดสินทีมเข้าชิงเวิลด์ซีรีส์ จู่ๆ รอน ซานโต้ กัปตันทีมคับส์ก็เจอแมวดำเดินตัดหน้าขณะรอตีลูก ซึ่งชาวตะวันตกถือว่าเป็นลางราย และเกมนั้นคับส์ก็แพ้เม็ตส์ ก่อนที่เม็ตส์จะก้าวไปคว้าแชมป์เวิลด์ซีรีส์ในเวลาต่อมา

หรือปี 1984 ในรอบชิงแชมป์สายเนชั่นแนลลีกเกมที่ 5 ซึ่งเป็นนัดตัดสิน คับส์แพ้ให้ ซานดิเอโก ปาเดรส์ แบบเหลือเชื่อหลังจากผู้เล่นคับส์รับลูกง่ายๆ พลาดเนื่องจากถุงมือชื้นเกินไป

ส่วนเหตุการณ์ล่าๆ หน่อยก็คือ รอบชิงเนชั่นแนลลีก นัดที่ 6 ปี 2003 ซึ่งคับส์พบกับ ฟลอริดา มาร์ลินส์ ขณะคับส์ขึ้นนำ 3-0 ในอินนิ่งที่ 8 คนตีของมาร์ลินส์หวดลูกฟาวล์ไปข้างสนาม และผู้เล่นคับส์ทำท่าจะกระโดดรับไว้ได้ก่อนลูกขึ้นอัฒจันทร์ แต่แล้ว สตีฟ บาร์ทแมน หนึ่งในแฟนของทีมคับส์ซึ่งนั่งชมอยู่แถวหน้า ดันยื่นมือออกไปจะคว้าลูกจนผู้เล่นคับส์รับพลาด หลังจากนั้นมาร์ลินส์ก็พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายชนะในที่สุด

ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้การรอคอยของแฟนๆ คับส์ต้องยืดยาวออกไป และระยะเวลาที่เนิ่นนานกว่า 100 ปี ก็ทำให้แฟนพันธุ์แท้หลายคนหมดอายุขัยก่อนจะได้เห็นความสำเร็จของทีม

บางคนถึงขั้นพยายามลบล้างคำสาปด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ในปี 2003 ซึ่งตรงกับปีมะแม (แพะ) ตามความเชื่อทางโลกตะวันออก แฟนคับส์กลุ่มหนึ่งก็พยายามประกอบพิธีกรรมย้อนคำสาป พอปีต่อมาก็มีคนประมูลลูกเบสบอลที่บาร์ทแมนก่อเรื่องจนทีมแพ้ เพื่อเอาไปทำลายหวังล้างอาถรรพ์ บางปีก็เชิญนักบวชมาสวด บ้างก็เอาหัวแพะที่ตายแล้วมาทำพิธีล้างคำสาป แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ดีขึ้นเลย

กระทั่งมาปีนี้ พวกเขาผ่านเข้ารอบชิงเวิลด์ซีรีส์ได้สำเร็จ แถมยังพลิกสถานการณ์จากที่ตกเป็นฝ่ายตาม 1-3 เกมในระบบ 7 นัด กลับมาเอาชนะได้อย่างเหลือเชื่อ

แน่นอนว่าบรรดาแฟนๆ ของคับส์และชาวเมืองชิคาโกต้องฉลองกันยกใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาเซเลบริตี้พันธุ์แท้ อาทิ บิล เมอร์เรย์ ดาราตลกรุ่นเก๋าซึ่งไปดูถึงขอบสนาม หรือประธานาธิบดี บารัค โอบามา ซึ่งเป็นชาวชิคาโก ก็รีบทวีตข้อความทีเล่นทีจริง เชิญทีมคับส์แหกกฎไปเยือนทำเนียบขาวตามธรรมเนียม ก่อนเขาจะหมดวาระประธานาธิบดี

นอกจากนี้ การรอคอยอันยาวนาน และเรื่องราวของคำสาปอันโด่งดังก็ทำให้ชาวอเมริกันเมืองอื่น (ที่ไม่ใช่คลีฟแลนด์) อดเอาใจช่วยคับส์ไปด้วยไม่ได้

ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ “แฟนเฉพาะกิจ” แถวๆ เมืองโอ๊คแลนด์ ซึ่งเรียกได้ว่า “สะใจ” กับความพ่ายแพ้ของคลีฟแลนด์ อินเดียนส์ มากกว่าจะดีใจกับชัยชนะของชิคาโก คับส์

แฟนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นสต๊าฟโค้ชและผู้เล่น รวมถึงแฟนๆ ของทีมบาส โกลเดนสเตทวอร์ริเออร์ส นั่นเอง

เนื่องด้วยฤดูกาลก่อน พวกเขาปราชัยให้กับ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส 3-4 เกมในรอบชิงชนะเลิศทั้งที่เป็นฝ่ายขึ้นนำ 3-1 เกม จนจ่อแชมป์ก่อน

World Series - Chicago Cubs v Cleveland Indians - Game Seven

แถมวันฮัลโลวีนที่ผ่านมา เลบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ดซุปเปอร์สตาร์ของคาวาเลียร์สยังย้ำแผลนี้ด้วยการประดับบ้านด้วยมุขตลก “นำ 3-1 (แต่แพ้)” เพื่อล้อเลียนวอร์ริเออร์สอีกต่างหาก!

อันที่จริง ชัยชนะของคาวาเลียร์สเมื่อหลายเดือนก่อนให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับแชมป์ของคับส์ในครั้งนี้ เนื่องจากชาวเมืองคลีฟแลนด์ห่างไกลจากการฉลองแชมป์ลีกกีฬาอาชีพ 4 ลีกหลักของสหรัฐอเมริกามายาวนานถึง 52 ปีเต็ม แม้จะน้อยกว่าการรอคอยของแฟนคับส์แบบครึ่งต่อครึ่ง แต่อย่างน้อยชาวเมืองชิคาโกก็ยังได้ฉลองแชมป์กับทีมกีฬาอื่นๆ อยู่บ้าง

นอกจากนี้ ความพ่ายแพ้ในรอบชิงของคลีฟแลนด์ อินเดียนส์ ยังแสนเจ็บปวดไม่ต่างกับตอนวอร์ริเออร์สแพ้ให้คาวาเลียร์ส เพราะนำมา 3-1 เกมเช่นกัน

จึงมีกระแสข่าวเมาธ์ว่า ลุก วอลตัน ผู้ช่วยโค้ชของวอร์ริเออร์ส ถึงกับอุทานว่า ชาวคลีฟแลนด์คงรู้สึกแล้วว่าการพ่ายแพ้ในเกมที่ 7 มันเจ็บปวดขนาดไหน

ขณะที่ เดรย์มอนด์ กรีน เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ดคนดังของวอร์ริเออร์ส เป็นคนแรกๆ ที่ร่วมปล่อยมุขผ่านโซเชียล โดยทวีตว่า “ขึ้นนำ 3-1 นี่มันแย่จริงๆ”

…ถึงจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเขา แต่ขอให้ได้กัดคู่ปรับสำคัญหน่อยก็ยังดี!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image