เปิดโฉมหน้า 3 อรหันต์ ชิงเก้าอี้ประมุขลูกหนังเมืองไทย
ทำท่าจะดุเดือดแน่นอนแล้วสำหรับการชิงเก้าอี้ “นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ” ในการเลือกตั้งสมัยหน้า ซึ่งตามข้อบังคับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ต้องจัดประชุมไม่เกิน 3 เดือนหลัง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ครบวาระบริหารงาน 2 สมัยเดือนกุมภาพันธ์ 2567
ความชัดเจนประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นมาหลังการเลือกตั้งสนามใหญ่ของประเทศไทย เมื่อ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ที่อยู่กับ วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทำให้แรงกระเพื่อมดังกล่าวส่งผลมายังสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในภาพที่แฟนบอลเข้าใจกันดีคือ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เปรียบเสมือนตัวแทนพรรคภูมิใจไทยในวงการฟุตบอลเมืองไทย และบรรยากาศหลายๆ อย่างในเวลานี้ตั้งแต่ทีมชาติล้มเหลว เรื่องอื้อฉาวระลอกล่าสุดในซีเกมส์ทำให้ฝ่ายบริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ถึงกับต้องกุมขมับเพราะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์วงการฟุตบอลไทยไปถึงระดับโลก
แฟนบอลที่ยังคงให้การสนับสนุน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยังมีอยู่ ขณะเดียวกันแฟนบอลที่ไม่ทนกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน
จึงเป็นที่มาของ “ผู้ท้าชิง” ที่เปิดหน้า “วัดพลัง” ลุ้นเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คนใหม่ ในห้วงการบริหารงาน พ.ศ.2567-2570
ประเด็นสำคัญคือ เมื่อต้นปี 2565 สภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เห็นชอบแก้ไขข้อบังคับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ 2 เรื่องสำคัญคือ จากเดิมนายกสมาคมสามารถนั่งได้แค่ 2 วาระ 8 ปีแก้เป็น 3 วาระ 12 ปี และอีกข้อคือ ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฯ ต้องอายุไม่เกิน 70 ปี ณ วันสมัคร
แผนกข่าวกีฬา “มติชน” มีโอกาสพูดคุยนโยบายและวิสัยทัศน์การบริหารงานของเจ้าของพื้นที่เดิมและผู้ท้าชิงตำแหน่งประมุขลูกหนังไทยคนใหม่ดังต่อไปนี้
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ บอกว่า สนับสนุน “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย เข้ามาทำงานต่อจากตน เพราะมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และเสียสละในการทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมได้อย่างดี พร้อมและยินดี ผลักดัน สนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ “มาดามแป้ง” ที่เป็นคนที่รักฟุตบอลจริงๆ ได้มีโอกาสทำหน้าที่นายกสมาคมฯ ในอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ว่า พล.ต.อ.สมยศ จะออกมาพูดเสมอว่า สนับสนุนนางนวลพรรณ ล่ำซำ นั่งเก้าอี้นายกสมาคมต่อจากตัวเอง แต่ยังคงมีแรงกระเพื่อมจากกลุ่มที่สนับสนุน นายเนวิน ชิดชอบ จากค่ายบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และขั้วอำนาจการบริหารปัจจุบันให้ทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งเชื่อกันว่า พล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ตัดสินใจที่แน่ชัดว่าจะลงจากเก้าอี้หรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่า จะลุ้นเก้าอี้ต่อในสมัยที่ 3 เนื่องจากยังคงได้รับความไว้วางใจจากนายเนวิน ชิดชอบ นั่นเอง
“บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ บอกว่า ช่วงเวลา 5-7 ปีที่ผ่านมา วงการฟุตบอลไทยถอยหลัง เราไม่ได้เดินไปข้างหน้า สมัยของตัวเองเป็นนายกสมาคมฯ เราสร้างฟุตบอลอาชีพขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาได้แล้ว แต่ตอนนี้ต้องบอกว่ามันตกต่ำ ล้มเหลวในทีมชาติไทย ถ้ากลับเข้ามาต้องย้อนถามกลับไปว่า ตนเป็นคนตั้งมากับมือเรื่องเงินอุดหนุนสโมสรต่างๆ ทีมละ 20 ล้าน ซึ่งทิ้งมรดกไว้ให้คนที่ทำงานปัจจุบัน ถ้าได้กลับเข้ามาเงื่อนไขเดิมคือปีละ 20 ล้านก็ต้องกลับมามอบให้ทุกสโมสร ไม่ใช่ลดลงไปเรื่อยๆ
“ผมพูดเลยว่า ถ้ามีใครที่เหมาะสมเข้ามาร่วมมือกัน มาคุยกัน ผมอยู่ข้างหลังได้ ผมดีใจที่เห็นตุ๊ก (ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน) เข้ามาแล้วคนหนึ่ง เพราะเราเป็นนักฟุตบอล เราจะปล่อยให้ฟุตบอลมันตกต่ำแบบนี้ไม่ได้ ส่วนเรื่องอายุที่ข้อขังคับของสมาคมระบุว่าห้ามเกิน 70 แต่ตอนนี้ผม 72 นั้น ผมจะยื่นขอคุ้มครองจากศาลเพราะข้อบังคับดังกล่าวไม่เป็นธรรมเป็นการกีดกัน เชื่อว่าศาลจะให้ความเป็นธรรม” บังยีกล่าว
“เดอะตุ๊ก” นาวาอากาศเอก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน บอกว่า เป้าหมายหลักจะพาทัพ “ช้างศึก” ไปลุยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ให้ได้ใน 4 ปี งานเล็กๆ คนอื่นเขาทำไปหมดแล้ว ตนขอวางเป้าหมายใหญ่ๆ เลย ส่วนแผนงานโครงสร้างต้องทำโดยวัฒนธรรมของฟุตบอลจริงๆ ซึ่งตนดูต้นแบบมาจากทั้งญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ที่เอาคนรู้เรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลเข้ามาบริหารงาน และการวางรากฐานให้แก่เด็กๆ ตั้งแต่อายุ 8-12 ปี ให้เล่นฟุตบอลกับพื้น ซึ่งเด็กในวัยนี้ต้องห้ามใช้หัวโหม่งทำประตู
ขณะที่ทีมชาติชุดใหญ่ควรจะต้องมีแผนงานระยะสั้น-กลาง-ยาว สู่การไปลุยฟุตบอลโลก ด้านทีมงานบริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ควรจะมีนักฟุตบอลระดับตำนานทั้งรุ่นก่อน หลัง และรุ่นเดียวกับตน ทั้ง เฉลิมวุฒิ สง่าพล, วรวรรณ ชิตะวณิช, ถิรชัย วุฒิธรรม รวมถึงรุ่นน้องทั้ง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ธชตวัน ศรีปาน, ดุสิต เฉลิมแสน, รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค, ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล รวมไปถึง “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย เข้ามาร่วมกันทุกองคาพยพ
“เรื่องสำคัญมากการพัฒนาผู้ฝึกสอน ผู้ตัดสิน ตรงนี้สมาคมจะเข้าไปแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในการก้าวไปสู่ผู้ฝึกสอนระดับรากหญ้า จะต้องฟรี ส่วนการก้าวไปสู่ความเป็นเลิศแต่ละคนต้องจ่ายกันเอง ส่วนเรื่องสภาพสนามทั้งการฝึกซ้อมและใช้แข่งขัน ในเมื่อเราต้องการให้นักฟุตบอลมีพื้นฐานการเล่นที่ดีทั้ง เลี้ยง, ส่ง,โหม่ง, ยิง, การครอบครองบอล รวมถึงเทคนิคต่างๆ ถ้าสนามฟุตบอลยังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อไม่มีหญ้า มีแต่ดินลูกรังไม่การบำรุงรักษาให้ดีมีมาตรฐานแล้วนักฟุตบอลจะพัฒนาได้อย่างไร ถ้าผมได้เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และมีอำนาจตัดสินใจได้ สภาพสนามที่จะใช้แข่งขันในทุกระดับจะต้องดีมีมาตรฐานครับเรียบน่าเล่น” เดอะตุ๊กกล่าว
แม้ว่าหลายฝ่ายจะเรียกร้องให้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ชิงเก้านายกสมาคมแต่ล่าสุดหมาดๆ เธอตัดสินใจถอนตัวที่จะชิงเก้าอี้ดังกล่าวแล้ว ทำให้กระแสข่าวลือเรื่องที่เธอจะมุ่งสู่ถนนสายการเมืองกับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กระเพื่อมอย่างมีนัยยะทันที
“มาดามแป้ง” นางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทยชุดใหญ่ และประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี ระบุว่า หลังจากก่อนหน้านี้ที่มีหลายคนชวนให้ตนเองลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และมีหลายคนสนับสนุนนั้น ตอนแรกก็มีความคิดว่าบางคืนก็คิดว่าอยากจะลง แต่บางคืนก็คิดว่าไม่อยากลง แต่หลังจากที่ได้มาปรึกษากับครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ ลูกสาว และพันตำรวจเอก ดร.ณรัชต์ เศวนนันท์ แล้วทางครอบครัวบอกว่าอย่าลงเลย
มาดามแป้ง กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเคยเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิง ไปฟุตบอลโลกมาแล้ว 2 สมัย รวมทั้งเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชาย คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ มาแล้ว 2 สมัย และก็มีความฝันอยากจะพาทีมฟุตบอลชายไปฟุตบอลโลกให้ได้สักครั้ง แต่จากการที่ได้พูดคุยกับครอบครัว ก็ตัดสินใจว่าจะไม่ลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เนื่องจากมีภารกิจอยู่หลายอย่าง รวมทั้งเป็นห่วงเรื่องสุขภาพดีด้วย และนานๆ ทีทางครอบครัวจะร้องขอ เราก็ยอมรับฟังทางครอบครัว
“ตอนนี้แป้งยังเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย ก็ยังเชื่อว่ายังสามารถทำประโยชน์ให้กับฟุตบอลไทยได้ ก็เลยคิดว่าจะไม่ลงชิงนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ แป้งฟังเสียงจากครอบครัว และสุขภาพไม่ค่อยดีด้วย แต่แป้งก็ยังคงสนับสนุนฟุตบอลไทยต่อไป เพราะอยู่ในสายเลือด เพราะแป้งเป็นคนที่ทำอะไรจะทำอย่างเต็มที่สุดกำลังของแป้ง”
นี่คือ 3 อรหันต์ที่เปิดหน้าเอี่ยว “หักเหลี่ยมเฉือนคม” แย่งชิงประมุขสมาคมกีฬายักษ์ใหญ่ของเมืองไทย
โปรดติดตามแบบห้ามกระพริบตา….
