สกู๊ปเด็ด : ส่องกล้องลูกหนังไทย 2567 เปิดภารกิจใหญ่กอบกู้ศรัทธา

สกู๊ปเด็ด : ส่องกล้องลูกหนังไทย 2567 เปิดภารกิจใหญ่กอบกู้ศรัทธา

ก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ 2567 วงการฟุตบอลไทยเตรียมเดินหน้าเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ พร้อมกับความคาดหวังของแฟนบอลไทยที่ต้องการเห็นการพัฒนาต่อไปข้างหน้า ซึ่งในปีนี้ก็ยังมีภารกิจสำคัญหลายรายการของทัพนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เริ่มตั้งแต่หัวปีไปจนถึงปลายปีเลยทีเดียว

เปิดหัวต้นปีภารกิจแรกของทัพช้างศึกทีมชาติไทยตั้งแต่ต้นปีคือ การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รายการ “เอเอฟซี เอเชี่ยนคัพ 2023” รอบสุดท้าย ที่ประเทศกาตาร์ ในช่วงระหว่างวันที่ 12 มกราคม ยาวไปจนถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ โดยมี 24 ชาติร่วมฟาดแข้งช่วงชิงความเป็นเบอร์หนึ่งของวงการลูกหนังทวีปเอเชีย

ทีมชาติไทย โคจรมาอยู่ในกลุ่มเอฟ ร่วมกับ ซาอุดีอาระเบีย, คีร์กีซสถาน และ โอมาน โดยศึกเอเชี่ยนคัพ 2023 ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 18 ภายใต้การรับรองของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) ซึ่งเลือกประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ พร้อมกับจะเป็นทัวร์นาเมนต์ในการป้องกันแชมป์ของทีมชาติกาตาร์ที่เป็นแชมป์เก่าเมื่อปี 2019 อีกด้วย

Advertisement

กาตาร์กระจายสนาม 9 สนามไปจัดตาม 5 เมืองใหญ่ทั้งที่กรุงโดฮา, อัล คอร์, ลูซาอิล, อัลรายยาน และอัล วาคราห์ โดยสนามประกอบด้วย อัล เบยต์ สเตเดียม, ลูซาอิล สเตเดียม, อาห์หมัด บิน อาลี สเตเดียม, เอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม, ยาสซิม บิน ฮาหมัด สเตเดียม, คาลิฟา อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดียม, อับดุลลาห์ บิน คาลิฟา สเตเดียม, อัล ทูมามา สเตเดียม และอัล ยานูป สเตเดียม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสังเวียนที่เคยผ่านการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายมาแล้ว

ศึกเอเชี่ยนคัพ 2023 รอบแบ่งกลุ่ม จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยแข่งขันแบบพบกันหมดในกลุ่ม และคัดทีมอันดับ 1-2 ของแต่ละกลุ่มผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้ายแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 ทีมจากทั้งหมด 6 กลุ่มก็จะได้สิทธิผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้ายต่อไปได้เช่นกัน

Advertisement

สำหรับทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย เตรียมที่จะประเดิมสนามนัดแรก พบกับ “เหยี่ยวขาว” คีร์กีซสถาน ที่อับดุลลาห์ บิน คาลิฟา สเตเดียม ในวันที่ 16 มกราคม ตามด้วยโปรแกรมเตะนัดที่สอง พบกับ “เดอะเรด” โอมาน ที่อับดุลลาห์ บิน คาลิฟา สเตเดียม ในวันที่ 21 มกราคม และนัดสุดท้ายของรอบแรกจะเจองานหนักกับ “เศรษฐีน้ำมัน” ซาอุดีอาระเบีย ที่ในวันที่ 25 มกราคม เอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม

ทัพช้างศึกโฉมใหม่ภายใต้การคุมบังเหียนของ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือสมองเพชรชาวญี่ปุ่นวัย 56 ปี ซึ่งจะคุมทีมในรูปแบบ “เจแปน สไตล์” และถือเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกของอิชิอิในการคุมทีมชาติไทย ชุดใหญ่ แต่มีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับเขา และมีศรัทธาของแฟนบอลชาวไทยที่อยากให้ทัพช้างศึกทำผลงานให้ดีเป็นเดิมพัน

มาซาทาดะ อิชิอิ ได้ปลุกใจนักสู้ให้นักเตะทีมชาติไทยแสดงศักยภาพของตัวเอง และความเป็นนักสู้ของทีมชาติไทย เล่นแบบไม่เกรงกลัว โดยอยากให้ทุกคนแสดงศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุดพยายามทำให้เต็มที่ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายของเกม พร้อมยืนยันว่านักเตะทุกคนที่ได้มาติดทีมชาติไทย จะต้องเล่นอย่างดุดัน

ด้วยประสบการณ์การคุมทีมของ มาซาทาดะ อิชิอิ ทั้งในศึกฟุตบอลเจลีก และคลุกคลีอยู่กับวงการฟุตบอลไทยลีกมายาวนานตั้งแต่ปี 2019 กับทีม สมุทรปราการ ซิตี้ ตามด้วยการพาทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กวาดทริปเปิ้ลแชมป์ 2 ฤดูกาลซ้อน ทำให้เขารู้จักคุ้นเคยกับนักเตะไทย และสไตล์การเล่นของฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี จึงเชื่อว่าจะสามารถพาทีมทำผลงานที่ดีได้

อย่างไรก็ตาม ด่านแรกของทีมชาติไทยก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเขี้ยวของ 3 ชาติตะวันออกกลาง ทั้ง คีร์กีซสถาน, โอมาน และ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งล้วนเป็นงานยากของนักเตะไทยที่ไม่ค่อยถูกโฉลกนักกับบอลสไตล์อาหรับ จึงถือเป็นบทพิสูจน์แรกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับ มาซาทาดะ อิชิอิ กับการพาช้างศึกฝ่าด่านอาหรับ เพื่อกรุยทางเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้

หากผ่านด่านแรกไปได้ก็จะนับเป็นการเริ่มต้นเส้นทางคุมทีมชาติไทยที่สวยงามของกุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้ แต่เส้นทางต่อจากนั้นในศึกเอเชี่ยนคัพจะยิ่งทวีคูณความโหดขึ้นเรื่อยๆ และจะต้องช่วยกันส่งกำลังใจเชียร์ทัพช้างศึก และมาลุ้นกันว่าอิชิอิว่าจะทำผลงานไปได้ไกลเพียงไหนในศึกเอเชี่ยนคัพ 2023 ในหนนี้

หลังจากเสร็จศึกนอกแล้ว วงการฟุตบอลไทยต้องหันมาจับตาศึกในกับการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนใหม่ หลังจากที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ประกาศวางมือไปเป็นที่เรียบร้อยหลังจากครบวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของตัวเอง และเตรียมที่จะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้

สำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่ผ่านการรับรอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจะประกอบไปด้วย 1. “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ซีอีโอ บริษัท เมืองไทย ประกันภัย จำกัด (มหาชน) อดีตประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี และผู้จัดการทีมชาติไทยชุดใหญ่

2. “ป๊อก” วรงค์ ทิวทัศน์ อดีตเลขานุการบริษัท ไทยลีก จำกัด 3. “พอลลีน” พยุริน งามพริ้ง อดีตผู้ก่อตั้งกลุ่มเชียร์ไทยพาวเวอร์ 4. ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ ผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรชลบุรี เอฟซี และอุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ชุดปัจจุบัน โดยทั้งหมดถือเป็นแคนดิเดตในการชิงเก้าอี้ประมุขแห่งวงการลูกหนังไทย

ส่วนผู้สมัครชิงเก้าอี้อีก 2 คนคือ สุรชัย นิวาสพันธุ์ อดีตนักฟุตบอลและโค้ช ถูกตัดสิทธิ เนื่องจากผู้สมัครรายนี้ไม่ได้รับการเสนอชื่อโดยสโมสรสมาชิกอย่างน้อย 3 ราย ตามข้อบังคับ ลักษณะการปกครองของสมาคม ส่วน “อ๋อ วังโอ่ง” คมกฤช นภาลัย อดีตผู้สื่อข่าวสายฟุตบอลไทยระดับปรมาจารย์ ต้องส่งเอกสารเพิ่มเติม

สำหรับผู้มีสิทธิออกเสียงในการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คนใหม่นั้น จะยึดผลจากการแข่งขันฤดูกาล 2022/23 ทั้งหมด 72 เสียง แบ่งเป็น ไทยลีก 1 จำนวน 16 สโมสร / ไทยลีก 2 จำนวน 18 สโมสร / ไทยลีก 3 อันดับ 1-5 จาก 6 โซน รวม 30 สโมสร / แชมป์อเมเจอร์ลีก 1 สโมสร / แชมป์-รองแชมป์ ฟุตซอลลีก 2 สโมสร / แชมป์-รองแชมป์ ฟุตบอลหญิง 2 สโมสร / แชมป์ฟุตซอลหญิง 1 สโมสร / แชมป์ฟุตบอลชายหาด 1 สโมสร / สมาคมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ 1 เสียง

แน่นอนว่าเต็งหนึ่งเก้าอี้นายกลูกหนังไทยคนใหม่ต้องยกให้กับ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ที่คร่ำหวอดอยู่กับวงการฟุตบอลไทยมายาวกว่า 16 ปี และเคยพาทีมฟุตบอลหญิงไทยไปฟุตบอลโลก 2 สมัยเมื่อปี 2015 ที่ประเทศแคนาดา และปี 2019 ที่ประเทศฝรั่งเศส มาแล้ว ก่อนมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมฟุตบอลชาย รวมทั้งทำหน้าที่เป็นประธานสโมสร “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ยาวถึงเกือบ 9 ปี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงหัวใจลูกหนังของมาดามหัวใจแกร่งคนนี้ได้เป็นอย่างดี

พร้อมกันนี้ “มาดามแป้ง” ยังได้รับการสนับสนุนจากบิ๊กเนมของวงการฟุตบอลไทย ทั้ง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสร “เดอะแรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด รวมทั้งอีกหลายสโมสรที่ช่วยผนึกกำลังกันดันขึ้นนั่งเก้าอี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลไทยคนใหม่

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สมัครอีกหลายคนที่ชูวิสัยทัศน์และนโยบายในการผลักดันให้วงการฟุตบอลไทยก้าวไกลไปข้างหน้า ทั้ง “ป๊อก” วรงค์ ทิวทัศน์ และ “พอลลีน” พยุริน งามพริ้ง รวมทั้ง ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ แต่มีเพียงแนวคิดอาจจะยังไม่เพียงพอต่อการขึ้นนั่งเก้าอี้นายกลูกหนังไทย เพราะจำเป็นที่จะต้องได้รับเสียงโหวตสนับสนุนจากสโมสรสมาชิกในการเลือกตั้ง ซึ่งจะถือเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพลิกโฉมวงการฟุตบอลไทยให้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาได้หรือไม่…

หลังจากนั้นในรอบปี 2567 ยังมีอีกหนึ่งทัวร์นาเมนต์สำคัญของทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ก็คือ ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ซึ่งยังเหลืออีก 4 นัดสุดท้ายหลังจากที่ 2 นัดแรกเมื่อปีที่ผ่านมา ทีมชาติไทย ทำผลงานประเดิมสนามพ่ายคาบ้านต่อ จีน 1-2 และบุกคว้าชัยเหนือ สิงคโปร์ 3-1 เก็บมาได้ 3 แต้ม รั้งอันดับ 2 ของกลุ่มซี พร้อมกับยังอยู่ในเส้นทางไปสู่การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย ที่ประเทศแคนาดา, เม็กซิโก และสหรัฐ เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งทวีปเอเชียได้โควต้า 8.5 ทีมเป็นครั้งแรกอีกด้วย

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง อีก 4 นัดสุดท้ายของทีมชาติไทยในปีนี้ ประกอบด้วย บุกเยือน เกาหลีใต้ ในวันที่ 21 มีนาคม ตามด้วยกลับมาเปิดสนามราชมังคลากีฬาสถาน ต้อนรับการมาเยือนของ เกาหลีใต้ ต่อเนื่องทันทีในวันที่ 26 มีนาคม จากนั้นจะเป็นโปรแกรมบุกเยือน จีน ในวันที่ 6 มิถุนายน และปิดท้ายด้วยการเปิดบ้านส่งท้ายดวลแข้งกับ สิงคโปร์ ในวันที่ 11 มิถุนายน เพื่อเป็นการชี้ชะตาความฝันของแฟนบอลไทยกับการไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

จากโปรแกรมที่เหลืออยู่อีก 4 นัด แม้ว่ายังพอมองเห็นโอกาสไปฟุตบอลโลก แต่ต้องยอมรับว่า 2 นัดไป-กลับของทีมชาติไทยกับเกาหลีใต้ ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะด้วยชื่อชั้น และศักยภาพของแข้งไทยเป็นรองแข้งโสมขาวอยู่พอสมควร ดังนั้น 2 นัดนี้จะเป็นโจทย์ยากของ มาซาทะดะ อิชิอิ กับการนำทัพช้างศึกกรุยทางต่อไป เพราะหากไม่มีแต้มจาก 2 นัดกับเกาหลีใต้นี้ ก็ควรที่จะไม่เสียประตูมากเกินไป เนื่องจากจะมีผลต่อประตูได้-เสียอีกด้วย

ส่วนอีก 2 นัดสุดท้ายกับ จีน และ สิงคโปร์ ก็ต้องรอดูสถานการณ์ในตอนนั้นกันอีกทีว่า ทีมชาติไทยยังเหลือความหวังกับเส้นทางไปฟุตบอลโลก 2026 อยู่เพียงเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้วยังเชื่อมั่นว่า มาซาทะดะ อิชิอิ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้ทัพช้างศึกกลายเป็นนักสู้ เล่นได้อย่างดุดัน และไม่เกรงกลัวทีมยักษ์ใหญ่ของเอเชีย และไม่ว่าจะเหลือโอกาสอยู่เพียงเท่าไร แต่ก็ยังมีหัวใจนักสู้นำทางไปสู่ชัยชนะได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ยังมีช่วงฟีฟ่าเดย์ในเดือนกันยาน ซึ่งจะเป็นรายการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 50 โดยที่ทีมชาติไทยห่างหายจากการคว้าแชมป์ไปนานกว่า 6 ปีนับตั้งแต่ปี 25460 แล้ว และจะถือเป็นทัวร์นาเมนต์แห่งศักดิ์ศรีของทัพช้างศึกที่จะต้องทวงความสำเร็จในรายการนี้กลับคืนมาให้จงได้ รวมทั้งยังมีเกมฟีฟ่าเดย์เดือนตุลาคม และปิดท้ายปีด้วยการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2024 ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน-21 ธันวาคม โดยมีภารกิจที่สำคัญในการป้องกันแชมป์อีกสมัย

ภารกิจสำคัญของวงการฟุตบอลไทยในปี 2567 ก็จะมีอยู่ภารกิจใหญ่ ทั้งศึกเอเชี่ยนคัพ 2023, การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง, ศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ซึ่งภารกิจทั้งหมดถือว่าเป็นภารกิจสำคัญในการกอบกู้ศรัทธาจากแฟนบอลชาวไทยทั้งประเทศให้กลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากที่ห่างเหินและซบเซาไปแล้วหลายปี

แต่ภารกิจทั้งหมดจะสำเร็จลุล่วงไปตามเป้าหมายได้หรือไม่นั้น คงจะต้องจับตามองกันแบบห้ามกะพริบตา…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image