เช็กความพร้อมทัพไทย ก่อนลุยศึกใหญ่โอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024

เช็กความพร้อมทัพไทย ก่อนลุยศึกใหญ่โอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024

ในปี 2024 นี้ ไฮไลต์กีฬาสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น โอลิมปิกเกมส์ 2024 หรือ “ปารีส 2024” สุดยอดกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ที่จะทำการแข่งขันกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม-11 สิงหาคม

สำหรับโอลิมปิกเกมส์ที่จะมาถึง อาจจะดูเร็วกว่าทุกครั้งก็เป็นเพราะว่าจากหนก่อนที่ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพิ่งผ่านมาแค่ 3 ปี เพราะโอลิมปิกเกมส์หนก่อนต้องเลื่อนออกมา 1 ปี เพราะเหตุการณ์แพร่ระบาดของ​โควิด-19 ในเวลานั้น

ย้อนกลับไปดูผลงานของทัพนักกีฬาไทย ในโอลิมปิกเกมส์ที่ผ่านมา เราเคยคว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์มาแล้วทั้งสิ้น 10 ทอง 8 เงิน 17 ทองแดง

Advertisement

ฮีโร่คนแรกของประเทศไทยก็คือ พเยาว์ พูลธรัตน์ ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองแดงมวยสากลสมัครเล่น ใน โอลิมปิกเกมส์ 1976 ที่เมืองมอนทรีอัล ประเทศแคนาดา

ซึ่งหลังจากนั้นมาไทยสามารถคว้าเหรียญรางวัลได้อย่างน้อย 1 เหรียญ ในทุกโอลิมปิกเกมส์ (ยกเว้น 4 ปีต่อมาที่มอสโก 1980 เพราะไทยไม่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน)

เหรียญต่อมาของประเทศไทย ก็ยังคงเป็นมวยสากลสมัครเล่น ใน ลอสแอนเจลิส 1984 ที่ “ขาวผ่อง” ทวี อัมพรมหา คว้าเหรียญเงินในรุ่นไลท์เวลเตอร์เวทมาครองได้ จากนั้นใน โอลิมปิกเกมส์ 1988 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ไทยได้ 1 ทองแดง จาก ผจญ มูลสัน ในมวยสากลสมัครเล่น รุ่นแบนตัมเวท ก่อนที่ในอีก 4 ปีต่อมา ที่บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน ในปี 1992 ไทยได้เหรียญทองแดงจากมวยสากลสมัครเล่น รุ่นเวลเตอร์เวท จาก อาคม เฉ่งไล่

Advertisement

จนกระทั่ง โอลิมปิกเกมส์ 1996 ที่แอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ประวัติศาสตร์ก็ต้องจารึก เมื่อประเทศไทยได้เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์เป็นครั้งแรก จาก “โม้อมตะ” สมรักษ์ คำสิงห์ ยอดนักชกในรุ่นเฟเธอร์เวท หลังเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรีย ในรอบชิงชนะเลิศ 8-5 คะแนน นอกจากนี้ทัพนักกีฬาไทยยังได้อีก 1 เหรียญทองแดงจาก วิชัย ราชานนท์ ในรุ่นแบนตัมเวท ซึ่งเป็นโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกที่ไทยได้ 2 เหรียญรางวัลอีกด้วย

จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา ใน ซิดนีย์ 2000 ที่ประเทศออสเตรเลีย ขุนพลกำปั้นไทยก็ยังคงรักษาผลงานเอาไว้ได้อย่างดี คว้าเหรียญทองที่สองจาก วิจารณ์ พลฤทธิ์ นักชกในรุ่นฟลายเวท ที่เอาชนะ บูรัต ยูมาดิลอฟ จากคาซักสถาน ในรอบชิงชนะเลิศ 19-12 และยังมี 1 ทองแดงจาก พรชัย ทองบุราณ ในรุ่นไลท์มิดเดิลเวท นอกจากนี้ยังมีการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ คือการได้เหรียญทองแดงจาก เกษราภรณ์ สุตา ในยกน้ำหนัก รุ่น 58 กก.หญิง ซึ่งเป็นเหรียญแรกของทัพไทยที่ไม่ได้มาจากมวยสากลสมัครเล่นอีกด้วย

แต่โอลิมปิกเกมส์ที่ทัพนักกีฬาไทยท็อปฟอร์มที่สุด คงต้องยกให้ เอเธนส์ 2004 ที่เป็นโอลิมปิกเกมส์ประวัติศาสตร์ เพราะไทยคว้ามาได้ถึง 8 เหรียญรางวัล และเป็นถึง 3 ทอง จาก “เติ้ล” มนัส บุญจำนงค์ มวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลท์เวลเตอร์เวท, อุดมพร พลศักดิ์ จากยกน้ำหนักรุ่น 53 กก.หญิง และ “ไก่” ปวีณา ทองสุก จากยกน้ำหนัก รุ่น 75 กก.หญิง

นอกจากนี้ยังได้อีก 1 เงินจาก วรพจน์ เพชรขุ้ม ในมวยสากลสมัครเล่น รุ่นแบนตัมเวท และ 4 ทองแดงจาก สุริยา ปราสาทหินพิมาย มวยสากลสมัครเล่น รุ่นมิดเดิลเวท, อารีย์ วิรัฐถาวร ยกน้ำหนักรุ่น 48 กก.หญิง, วันดี คำเอี่ยม ยกน้ำหนัก รุ่น 58 กก.หญิง และ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย จากเทควันโด รุ่น 49 กก.หญิง เป็นกีฬาชนิดที่ 3 ของไทยที่คว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกเกมส์ได้

ขณะที่ โอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ไทยก็สามารถคว้ามาได้อีก 2 ทอง 2 เงิน 2 ทองแดง จาก สมจิตร จงจอหอ มวยสากลสมัครเล่นรุ่นฟลายเวท และ “เก๋” ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ในยกน้ำหนักรุ่น 53 กก.หญิง

ส่วน 2 เหรียญเงินมาจาก มนัส ที่คว้าเหรียญที่สองในโอลิมปิกเกมส์ให้ตัวเอง เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญถึง 2 สมัยด้วยกัน รวมถึงยังได้จาก บุตรี เผือดผ่อง ในเทควันโดรุ่น 49 กก.หญิง และอีก 2 ทองแดง จาก เพ็ญศิริ เหล่าศิริกุล ยกน้ำหนักรุ่น 48 กก.หญิง กับ วันดี คำเอี่ยม ยกน้ำหนักรุ่น 58 กก.หญิง

ใน โอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ นับเป็นครั้งที่ทัพนักกีฬาไทยทำผลงานได้น้อยกว่าหลายครั้งที่ผ่านมาเพราะไม่สามารถคว้าได้แม้แต่เหรียญทองเดียว ได้แค่ 2 เงิน จาก แก้ว พงษ์ประยูร มวยสากลสมัครเล่น รุ่นฟลายเวท และ พิมศิริ ศิริแก้ว ยกน้ำหนักรุ่น 58 กก.หญิง และอีก 2 ทองแดง จาก “เล็ก” ชนาธิป ซ้อนขำ เทควันโด รุ่น 49 กก.หญิง กับ ศิริภุช กุลน้อย ยกน้ำหนักรุ่น 58 กก.หญิง

ถัดมาอีก 4 ปี ในโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่นครรีโอ เดจาเนโร ประเทศบราซิล ทัพไทยกลับมาคว้าเหรียญทองได้อีกครั้ง โดยได้ 2 ทองจาก โสภิตา ธนสาร และ สุกัญญา ศรีสุราช ในยกน้ำหนักรุ่น 48 กับ 58 กก.หญิง และอีก 2 เงิน จาก เทวินทร์ หาญปราบ เทควันโดรุ่น 58 กก.ชาย กับ พิมศิริ ศิริแก้ว ยกน้ำหนักรุ่น 58 กก.หญิง รวมถึง 2 ทองแดงจาก “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เทควันโดรุ่น 49 กก.หญิง และ สินธุ์เพชร กรวยทอง ยกน้ำหนักรุ่น 56 กก.ชาย

และโอลิมปิกเกมส์ครั้งล่าสุด ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น “เทนนิส” พาณิภัค ก็สามารถแก้ตัวจาก 4 ปีก่อน มาคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ และเป็นนักกีฬาเทควันโดคนแรกที่คว้าเหรียญทองได้ นอกจากนี้ยังได้อีก 1 ทองแดง จาก สุดาพร สีสอนดี ในมวยสากลสมัครเล่น รุ่นไลท์เวลเตอร์เวทหญิง

มาถึงโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทัพนักกีฬาไทยก็กำลังเดินหน้าคว้าตั๋วโอลิมปิกเกมส์กันได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาถึงตอนนี้มีการการันตีได้ตั๋วไปแล้วทั้งหมด 15 ใบด้วยกัน

โดยคนแรกสุดที่คว้าโควต้าได้ก็คือ “เอ้” โกเมธ สุขประเสริฐ ที่คว้าแชมป์จักรยานบีเอ็มเอ็กซ์เอเชีย 2023 คว้าโควต้ามาก่อนใครเพื่อน ก่อนที่ “ธันย่า” ธันยากร พฤกษากร ในปืนสั้นสตรี 25 เมตร ที่คว้าตั๋วที่สองได้จากรายการยิงปืนชิงแชมป์โลก

จากนั้นในเอเชี่ยนเกมส์ ทัพนักกีฬาไทยเข้าร่วมพร้อมกับคว้าโควต้าโอลิมปิกเกมส์ได้อีกหลายใบ แบ่งเป็น มวยสากล 4 ใบ จาก ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด, จุฑามาศ รักสัตย์, ธนัญญา สมนึก และ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง, ปัญจกีฬา จาก ภูริช โยเฮือง, ไคท์บอร์ด 2 ที่นั่ง จาก เบญญาภา จันทวรรณ กับ โจเซฟ โจนาธาน เวสตัน รวมถึงจักรยาน ประเภทถนน การันตีโควต้า 3 ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน

ขณะที่ “เทนนิส” พาณิภัค คว้าตั๋วลุยโอลิมปิกเกมส์เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันสำเร็จ หลังรั้งอันดับ 1 ของโลกในรุ่น 49 กก.หญิง ที่การันตีคว้าตั๋วจากอันดับโลกแน่นอนแล้ว

และล่าสุดได้มาอีก 2 โควต้า จากเรือใบ ประเภท ILCA6 โซเฟีย เกล มอนโกเมอรี่ และ ILCA7 อธิษฐ์ มิเคล โรมานิค

ขณะที่ยังเหลือเวลาอีก 8 เดือนก่อนจะถึงโอลิมปิกเกมส์ ทัพนักกีฬาไทยยังคงมีโอกาสคว้าตั๋วโอลิมปิกเกมส์เพิ่มได้มากกว่านี้ ซึ่ง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตั้งเป้าว่าจะต้องได้มากกว่าหนก่อน ที่ทำได้ 37 โควต้า (42 คน) ด้วยกัน

โดยโควต้าที่ยังเหลือได้ลุ้นของทัพนักกีฬาไทย เริ่มจาก ขี่ม้า ประเภทกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง “ปรีดิ์อัญ” ชนกภรณ์ การุณยธัช ที่ทำคะแนนติดอันดับคว้าโควต้าได้แล้ว รอแค่การประกาศอย่างเป็นทางการจากสหพันธ์ขี่ม้านานาชาติ ในเดือนมกราคมนี้เท่านั้น

ขณะที่มวยสากล ยังมีโอกาสคว้าตั๋วเพิ่มจากศึกเวิลด์ควอลิฟาย อีก 2 ครั้ง ซึ่งจะมีขึ้นที่ประเทศอิตาลีและประเทศไทย โดยคาดหวังจะได้ตั๋วอีก 4 ใบ เพื่อให้ได้ 8 ที่นั่งตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

ส่วนสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ยังหวังจะคว้าเพิ่มอีก 2 ที่นั่ง จากชายและหญิงอย่างละที่นั่ง ซึ่งคนที่มีลุ้นได้แก่ “หยู” บัลลังก์ ทับทิมแดง ที่เพิ่งคว้าเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ที่ประเทศจีนมาได้

อีกหนึ่งกีฬาที่เป็นความหวังของแฟนกีฬาชาวไทย ก็คือแบดมินตัน ซึ่งจะเก็บคะแนนไปจนถึงรายการสุดท้ายคือ รายการชิงแชมป์เอเชีย และชิงแชมป์ยุโรป ที่จะแข่งพร้อมๆ กัน วันที่ 9-14 เมษายน

ถ้าดูจากอันดับบนตารางตอนนี้ จะได้ลุ้นราวๆ 6 โควต้าด้วยกัน จากชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ แชมป์โลกชายเดี่ยวของไทย ที่รั้งอันดับ 7 อยู่ตอนนี้, หญิงเดี่ยว ยังได้ 2 ที่นั่งจาก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ อันดับ 13 และ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ อันดับ 15, ชายคู่ มีลุ้น 1 โควต้าจาก สุภัค จอมเกาะ-กิตตินุพงษ์ เกตุเรน อันดับ 31 (โควต้าที่ 12) หรือ ภรัณยู ขาวสำอางค์-วรพล ทองสง่า อันดับ 41 ตอนนี้

หญิงคู่ ก็จะได้ 1 โควต้าจาก “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิตติธรากุล-“วิว” รวินดา ประจงใจ อันดับ 10 (โควต้าที่ 8) หรือคู่ของ “มูนา-อันนา” เบญญาภา-นันทน์กาญจน์ เอี่ยมสอาด และคู่ผสม จาก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์-“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่รั้งอันดับ 5 ตอนนี้

ด้านกอล์ฟ มีลุ้นคว้า 4 โควต้า ได้จากหญิง 2 โควต้า ซึ่งตอนนี้ “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล และ “โปรพราว” ชเนตตี วรรณแสน เป็น 2 โปรสาวที่อันดับดีที่สุด ส่วนชาย 2 คนเป็น “โปรเพชร” พชร คงวัดใหม่ กับ “โปรเพชร” สดมภ์ แก้วกาญจนา (อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอันดับภายหลังได้)

ยกน้ำหนัก ยังเหลือให้เก็บคะแนนอีก 2 รายการคือชิงแชมป์เอเชีย ที่กรุงทาชเคนท์ ประเทศอุซเบกิสถาน วันที่ 3-10 กุมภาพันธ์ และเวิลด์คัพ 2024 ที่จ.ภูเก็ต ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-11 เมษายน ซึ่งสมาคมยกน้ำหนักฯ หวังจะคว้าได้ครบ 6 โควต้าเต็มๆ

นอกจากนี้ยังมีโควต้าอื่นๆ เช่น ว่ายน้ำ จาก เจนจิรา ศรีสะอาด, กรีฑา จาก “บิว” ภูริพล บุญสอน, เทเบิลเทนนิส จาก “หญิง” สุธาสินี เสวตรบุตร และ “ทิพย์” อรวรรณ พาระนัง, ยิงเป้าบิน, ยูโด, วินด์เซิร์ฟ, เรือพาย, เทนนิส หรือยิงธนู ก็ยังอยู่ในข่ายที่มีโอกาสลุ้นคว้าโควต้าเพิ่มได้

ส่วนที่อาจจะต้องลุ้นหนักหน่อย คือโควต้าประเภททีมของไทย ซึ่งเป็น 2 กีฬายอดฮิตอย่าง วอลเลย์บอลและฟุตบอล

โดย วอลเลย์บอลทีมหญิง ยังมีลุ้นสร้างประวัติศาสตร์คว้าโควต้าไปแข่งขันครั้งแรกได้ เพียงแต่งานที่รออยู่ค่อนข้างยากมากๆ เพราะว่าตอนนี้ได้ตัวแทนไปแล้ว 7 จาก 12 ทีมด้วยกัน ขณะที่ยังต้องแบ่งโควต้าให้ทวีปแอฟริกาอีก 1 โควต้า เท่ากับว่าเหลือให้ลุ้นแค่ 4 โควต้าสุดท้ายเท่านั้น

ซึ่ง 4 โควต้าสุดท้าย จะต้องวัดจากอันดับโลก ซึ่งไทยจะต้องพยายามทำผลงานในศึก วอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีก 2024 ให้ได้ดีที่สุด เพื่อขยับให้ติดท็อป 10 ของโลกให้ได้ และลุ้นไปรอบสุดท้ายในฐานะทีมที่มีอันดับโลกดีสุดในฐานะ 1 ใน 2 ทีมจากโซนเอเชีย

ข่าวดีคือประเทศไทยมีลุ้นที่จะได้เป็นเจ้าภาพในสนามสุดท้ายหรือสนามชิงชนะเลิศ เท่ากับว่าไทยจะการันตีเข้าสู่รอบสุดท้ายแน่นอนเป็นทีมแรก และถ้าหากทำผลงานในแต่ละสนามดีๆ จนมาถึงสนามสุดท้าย ค่อยๆ เก็บแต้มมา โอกาสจะติดท็อป 10 ก็มีอยู่เช่นกัน

ส่วนอีกหนึ่งชนิดกีฬาประเภททีมของไทยที่มีลุ้น ก็คือ ฟุตบอลชาย ซึ่งเงื่อนไขสำหรับการคว้าตั๋วไปโอลิมปิกเกมส์ คือการติดท็อป 3 ในการแข่งขัน “เอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยนชิพ 2024” ที่ประเทศกาตาร์ ระหว่างวันที่ 15 เมษายน-3 พฤษภาคม

โดยรอบแรกไทยอยู่ในกลุ่มซี ร่วมกับ ซาอุดีอาระเบีย, อิรัก และ ทาจิกิสถาน ซึ่งถ้าผ่านรอบแรกได้ เมื่อเข้าสู่รอบน็อกเอาต์อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดย 3 อันดับแรกคว้าโควต้าทันที ส่วนอันดับ 4 ต้องไปเพลย์ออฟกับทีมจากโซนแอฟริกา

ถ้าดูจากตอนนี้ โอกาสที่ไทยจะได้โควต้ามากกว่าครั้งก่อน ก็ถือว่ามีไม่น้อยเลยทีเดียว

แน่นอนว่าความหวังสูงสุดของทัพนักกีฬาไทย คงหนีไม่พ้น “เทนนิส” พาณิภัค ซึ่งจะเป็นโอลิมปิกเกมส์หนสุดท้ายของเจ้าตัว ที่กำลังลุ้นเป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าเหรียญทองได้มากกว่า 1 สมัย และยังจะเป็นคนแรกที่คว้าเหรียญได้ถึง 3 ครั้ง จาก 3 หนที่เข้าร่วมอีกด้วย

ขณะที่มวยสากล หลังจากที่ไม่ได้เหรียญทองมาหลายสมัยแล้ว ต้องบอกว่าช่วงหลังมวยสากลของไทยมีผลงานที่ดีขึ้นและกลับมาเป็นความหวังได้อีกครั้งหนึ่ง ก็น่าจะคว้าเหรียญรางวัลเหรียญใดเหรียญหนึ่งมาฝากคนไทยได้แน่นอน

ยกน้ำหนักเอง หลังจากโอลิมปิกเกมส์หนล่าสุดไม่ได้เข้าร่วมเพราะอยู่ในช่วงที่โดนลงโทษแบนอยู่นั้น ครั้งนี้กลับมาก็น่าจะมีลุ้นเหรียญรางวัลได้เช่นกัน จาก “เวฟ” วีรพล วิชุมา ที่เพิ่งคว้า 2 ทอง 1 เงิน จากชิงแชมป์โลกมา

ทั้ง 3 ชนิดที่ผ่านมา คือชนิดกีฬาที่เคยทำเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์มาแล้วทั้งสิ้น แต่ที่จะต้องลุ้นในครั้งนี้ คงต้องลุ้นว่าจะมีกีฬาใหม่ๆ ที่มาคว้าเหรียญรางวัลให้ทัพนักกีฬาไทยได้หรือไม่

ที่น่าลุ้นที่สุดคงจะเป็นแบดมินตัน ที่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมาหลายครั้ง ครั้งนี้ก็ต้องมาลุ้นกันทั้งชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ, คู่ผสม “บาส-ปอป้อ” หรือหญิงเดี่ยว “เมย์” รัชนก ที่น่าจะเป็นโอลิมปิกเกมส์สุดท้ายของเจ้าตัวแล้ว

หรือกอล์ฟเอง “โปรจีน” นับว่าเป็นนักกอล์ฟที่มีผลงานสกอร์เฉลี่ยต่ำสุดของแอลพีจีเอ ทัวร์ ฤดูกาล 2023 ในขณะที่กอล์ฟเป็นกีฬาที่ต้องลุ้นกันวันต่อวัน ถ้าสามารถรักษาโมเมนตัมของตัวเองได้ ก็มึลุ้นเหรียญได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีกีฬาอื่นๆ ที่อาจจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนกีฬาชาวไทย คว้าเหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์มาให้ชื่นใจได้ด้วยเช่นกัน

กับกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติที่มีแค่ 4 ปีหน บอกเลยว่าพลาดไม่ได้เลยจริงๆ

มารอเชียร์นักกีฬาไทยกันครับ!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image