เช็กครั้งสุดท้าย ช้างศึก ก่อนลุย เอเชี่ยนคัพ2023

เช็กครั้งสุดท้าย ช้างศึก ก่อนลุย เอเชี่ยนคัพ2023

เปิดฉากเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึกฟุตบอล “เอเชี่ยนคัพ 2023” รอบสุดท้ายที่ประเทศกาตาร์ จากนี้ไปจะเป็นการหาว่าใครคือสุดยอดของทวีปเอเชีย ซึ่งจะชิงชนะเลิศในวันที่ 10 กุมภาพันธ์

ก็ต้องบอกว่านี่คือทัวร์นาเมนต์ที่สำคัญที่สุดลำดับที่ 2 ของโลก สำหรับชาวเอเชียด้วยกัน เพราะรองจากฟุตบอลโลกก็ต้องเป็นฟุตบอลชิงแชมป์ระดับทวีป ที่จะจัดกันทุกๆ 4 ปี

เดิมทีตามโปรแกรมแล้วเอเชี่ยนคัพหนนี้จะจัดขึ้นที่ประเทศจีนในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2023 แต่ทว่าจากเหตุการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้จีนไม่สามารถเป็นเจ้าภาพได้ ก่อนจะมีการคัดเลือกเจ้าภาพใหม่และเป็นกาตาร์ที่ได้รับโอกาสนี้ ก่อนจะเลื่อนมาจัดช่วงต้นปี 2024 แทน เพื่อสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการแข่งขัน

Advertisement

ในแง่หนึ่งของการมาจัดที่กาตาร์ มีความพิเศษก็คือ 7 สนามที่เคยได้จัดฟุตบอลโลก 2022 ก็จะมาเป็นสนามแข่งขันเอเชี่ยนคัพ ครั้งนี้ พร้อมกับเพิ่มมาอีก 2 สนาม คือ ยาสซิม บิน ฮาหมัด สเตเดียม กับ อับดุลลาห์ บิน คาลิฟา สเตเดียม

เงินรางวัลรวมของเอเชี่ยนคัพครั้งนี้ สูงถึง 14,800,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 513 ล้านบาท) ซึ่งทีมแชมป์จะได้รับไปทีมเดียว 5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 173 ล้านบาท) ขณะที่ทุกทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน จะได้เงินรางวัลการันตีแล้วชาติละ 2 แสนเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7 ล้านบาท)

Advertisement

แน่นอนว่าเต็งแชมป์สำหรับเอเชี่ยนคัพ ครั้งนี้ คงหนีไม่พ้น “ซามูไรบลูส์” ทีมชาติญี่ปุ่น ที่กำลังตามล่าหาแชมป์สมัยที่ 5 ให้กับตัวเอง หลังจากครั้งสุดท้ายที่ได้แชมป์ต้องย้อนไปถึงปี 2011 โดยมีคู่แข่งสำคัญก็คือ ซาอุดีอาระเบีย กับ อิหร่าน แชมป์ 3 สมัย, เกาหลีใต้ แชมป์ 2 สมัย และ กาตาร์ เจ้าภาพในฐานะแชมป์เก่า

ในส่วนความพร้อมของ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ต้องบอกเลยว่าทุลักทุเลอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นชาติที่มีการเตรียมความพร้อมน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้เลยก็ว่าได้

โดยทีมชาติไทย เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือการแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ อดีตกุนซือของ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำหน้าที่แทน มาโน่ โพลกิ้ง ที่ถูกปลดหลังจากผลงาน 2 นัดแรกของฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

แต่ทว่าในการเตรียมทีม ปรากฎว่ามีเวลารวมตัวรวมทั้งหมดแค่ 16 วันเท่านั้นก่อนลงเตะนัดแรกกับคีร์กีซสถาน (16 มกราคม) เทียบกับชาติอื่นที่มีเวลามากกว่า 20 วัน แถมยังเดินทางไปถึงช้าที่สุดในบรรดา 24 ทีม โดยไปถึงวันที่ 11 มกราคม ช่วงค่ำของที่ประเทศกาตาร์ หรือก่อนพิธีเปิดอย่างเป็นทางการแค่วันเดียว (12 มกราคม)

นอกจากเรื่องเวลาเก็บตัวน้อยแล้ว ทีมชาติไทยชุดนี้ ยังขาด 2 ผู้เล่นคีย์แมนคนสำคัญของทีมอย่าง “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าเบอร์ 1 ของทีม กับ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ตัวทำเกมประจำทีมไป ทำให้ทีมลดความอันตรายลงไปอย่างมาก

ทำให้ทีมชาติไทยชุดนี้ จะต้องฝากความหวังเอาไว้ที่ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีมผู้เคยคว้าแชมป์เจลีกมาแล้ว รวมถึงแนวรุกยุคใหม่อย่าง “เช็ค” สุภโชค สารชาติ, “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด

ข้อดีของทีมชุดนี้ ในการเลือกผู้เล่น 26 คนสุดท้ายของ อิชิอิ นั้น ด้วยความที่มีประสบการณ์ในประเทศไทยมาก่อนทั้งกับ “เขี้ยวสมุทร” สมุทรปราการ ซิตี้ กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำให้เขาเลือกศิษย์เก่าของเขามาติดทีมถึง 12 คนด้วยกัน ดังนั้นอิชิอิ น่าจะมั่นใจว่านักเตะเหล่านี้จะคุ้นเคยกับระบบของเขาเป็นอย่างดี

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ถึงการเตรียมทีมอาจจะดูไม่ถูกใจแฟนบอลมากนัก แต่มันก็มาจากการตัดสินใจและเลือกด้วยตัวเองของกุนซืออย่างอิชิอิเอง ฉะนั้นเมื่อเลือกแบบนี้แล้ว ก็ต้องให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์

แต่ด้วยความพร้อมแบบนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า การวิเคราะห์ของสื่อชาติเจ้าภาพอย่าง Bein Sport จะออกมาวิเคราะห์ว่า ทีมชาติไทย จะไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้

ในขณะที่เว็บไซต์รวบรวมสถิติระดับโลกอย่าง Opta จะใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ทำนายว่าไทยมีโอกาสเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายอยู่ที่ 52.1 เปอร์เซ็นต์ แต่โอกาสที่จะคว้าแชมป์ได้มีเพียง 0.4 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าชาติในอาเซียนด้วยกันอย่าง “ดาวทอง” เวียดนาม ที่มีโอกาส 0.5 เปอร์เซ็นต์เสียอีก

สำหรับทีมชาติไทย จะประเดิมคิกออฟ นัดแรกของกลุ่มเอฟ ในคืนวันที่ 16 มกราคม พบกับ คีร์กีซสถาน ที่อับดุลลาห์ บิน คาลิฟา สเตเดียม จากนั้นนัดที่สอง จะพบกับ โอมาน ที่อับดุลลาห์ บิน คาลิฟา สเตเดียม ในวันที่ 21 มกราคม และปิดท้ายรอบแรกด้วยการพบกับเต็งแชมป์อย่าง ซาอุดีอาระเบีย ที่เอดูเคชั่น ซิตี้ สเตเดียม ในวันที่ 25 มกราคม

โดยในรอบแรกจะเอาแชมป์กับรองแชมป์กลุ่ม รวมถึงอันดับ 3 ที่ดีที่สุด 4 จาก 6 กลุ่ม เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

โจทย์สำคัญสำหรับช้างศึก หากอยากจะผ่านเข้ารอบต่อไปให้ได้ คือต้องทำผลงานใน 2 เกมแรกให้ดีที่สุด ต้องมีอย่างน้อย 4 คะแนนจาก 2 นัดในการพบกับคีร์กีซสถานและโอมาน เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ติดอันดับ 3 ที่ดีที่สุด เพราะต้องบอกเลยว่านัดสุดท้ายกับซาอุดีอาระเบีย โอกาสแพ้มีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

ทว่าปัญหาที่ผ่านมาของทีมชาติไทย มักจะออกสตาร์ตช้า โดยเฉพาะเกมนัดแรกของทุกๆ ครั้งในการรวมตัว มักจะมีผลงานที่ไม่ดีเสมอเช่น แพ้ **จอร์เจีย** 0-8 หรือแพ้จีน 1-2 แม้ว่านัดต่อมาจะพอแก้ตัวได้ แต่กับเอเชี่ยนคัพ รอบสุดท้าย โอกาสแก้ตัวมันน้อยซะด้วย

ทางด้านของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม กล่าวถึงความคาดหวังเอาไว้ว่า ทั้ง 3 ทีมที่ไทยจะต้องเจอในรอบแรกล้วนแต่อันดับโลกสูงกว่าไทยทั้งหมด แต่ก็ยังหวังว่าจะเก็บได้ 4-6 คะแนนเพื่ออย่างน้อยเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด เข้ารอบ 16 ทีมต่อไปให้ได้

“แม้ว่าทีมชุดนี้จะขาดทั้ง มุ้ย กับ เจ แต่ก็เชื่อว่านักเตะที่มีอยู่พร้อมจะทำหน้าที่ทั้งหมด นี่เป็นรายการที่ใหญ่ลำดับสองต่อจากฟุตบอลโลก ก็อยากให้แฟนบอลไทยช่วยกันให้กำลังใจด้วย” ผู้จัดการทีมช้างศึกกล่าว

ถึงจะปัญหาเยอะมากมายแค่ไหน แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันในฐานะคนไทยก็คงต้องเชียร์เท่านั้น

พร้อมแล้วก็ ลุย!!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image