สกู๊ปพิเศษ : ชำแหละศึกชิงประมุขบ้านอัมพวัน ‘บิ๊กป้อม VS พิมล’
ปีหน้า 2568 เรื่องใหญ่ในวงการกีฬาของเมืองไทยที่ต้องโฟกัสคือ การชิงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งถือเป็นเสาหลักของวงการกีฬาเมืองไทย
ที่ว่าเป็นไฮไลต์เพราะ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งประมุขค่ายอัมพวันมา 2 สมัย 8 ปี ในยุคที่เรืองอำนาจ โดย “บิ๊กป้อม” รับตำแหน่งต่อจาก “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ขยับไปนั่งประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพ
ในยุคที่ “บิ๊กป้อม” เรืองอำนาจทางการเมืองในวงการกีฬาต่างไม่มี “ใคร” กล้าขัดใจลุงป้อม จนมาถึงวันที่ “บิ๊กป้อม” เผชิญวิบากกรรมทางการเมืองหมดอำนาจทางการเมือง วงการกีฬาก็เริ่มไม่ฟัง และพร้อมจะโค่นล้ม “บิ๊กป้อม” ออกจากตำแหน่งใหญ่อย่าง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ
การเอา “บิ๊กป้อม” ออกจากเก้าอี้ใหญ่ค่ายอัมพวัน ทุกอย่างมีการวางหมาก วางเกมกันเป็นขั้นเป็นตอนโดยมีอดีตคนรู้ใจ อดีตคนใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” เป็นกุนซือ นั่นคือ กฏของการได้นั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ต้องมาจากการดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” กีฬาใดกีฬาหนึ่งที่เป็นสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ซึ่ง 2 สมัยที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” เป็นผู้รับตำแหน่ง “นายกสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย” ต่อจาก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เหมือนเช่นเก้าอี้ประธานบ้านอัมพวัน
การเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา สโมสรสมาชิกพร้อมใจกันโหวตเลือก “บิ๊กสุ่น” พล.ท.บุญชัย เกษตรตระการ สวมบท “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์” เอาชนะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปแบบขาดลอย 231-22 เสียง ทำให้สถานะของ “บิ๊กป้อม” หลุดจากตำแหน่ง “นายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ” ทันที
“บิ๊กสุ่น” เป็นอดีตทหารเพิ่งเกษียณอายุราชการ ปี 2566 ประวัติรับราชการในกองทัพไม่ได้หวือหวา เคยเป็นผู้บังคับกองพันพัฒนาที่ 1 จังหวัดราชบุรี รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 สำนักงานปฏิบัติภารกิจรักษาความมั่นคงภายในกองทัพบก รองจเร กอ.รมน.ไม่เคยคุมกำลังรบ
สำหรับประวัติด้านกีฬา เคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เป็นเตรียมทหารรุ่น 23 รุ่นเดียว “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ อดีต ผบ.ทบ., “บิ๊กดุง” พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม อดีต ผบ.ทร.
“บิ๊กสุ่น” ถูกมองเป็นสายการเมือง เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ปี 2561 กับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
การมาของ “บิ๊กสุ่น” ในตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาทางน้ำฯ ทำให้มีการซุบซิบกันว่า “บิ๊กสุ่น” อาจเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะชิงเก้าอี้ตัวใหญ่ของวงการกีฬาอย่าง ประมุขค่ายอัมพวัน อีกด้วยซ้ำเพราะได้แรงสนับสนุนจาก “ขาใหญ่” ทางการเมืองอดีตคนใกล้ตัวของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ตำแหน่ง “นายกสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ” ถือเป็นเรื่องเล็กเพราะเป้าประสงค์ที่แท้จริงคือ เป็นแค่ “ทางผ่าน” ไปสู่ความถูกต้องในการนั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ เท่านั้น มันจึงสะเทือนไปถึงการประชุมใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิคฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2568
ว่ากันทางกฏหมายสถานะของ “บิ๊กป้อม” ณ ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งในวงการกีฬาแล้ว เพราะยุติการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ นับตั้งแต่วันที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) รับรองสถานะการจดทะเบียนคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ของสมาคมกีฬาว่ายน้ำฯ
ทันใดนั้นเอง มีการเคลื่อนไหวจากหลายๆ คนที่ต้องการก้าวขึ้นไปนั่งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ คนใหม่ มีการเปิดหน้า เปิดตัวกันออกมาหลายคน และถอยออกไปหลายคนแล้วเช่นกัน แต่ที่ยังอยู่ในข่ายและเป็นที่ร่ำลือกันในแวดวงวงการกีฬาชื่อแรกคือ “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่ได้แรงหนุนจากฝั่งพรรคเพื่อไทยอยู่พอสมควร
“บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ เป็นลูกหม้อเก่าไทยรักไทย สส.กทม.เขต 18 มีประสบการณ์เป็นอดีตรองโฆษกพรรค และอดีตกรรมการบริหารพรรค แต่ต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี หลังรัฐประหาร 2549
อีกรายที่แม้ว่าจะปฏิเสธออกมาแต่คนในวงการกีฬาต่างเชียร์ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนั่นคือ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ และดำรงตำแหน่งใหญ่ในระดับนานาชาติอย่าง สมาชิกคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซีเมมเบอร์ชาวไทย)
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มขั้วบริหารปัจจุบันที่ยังอยากจะอยู่ในบ้านอัมพวันต่อไปยาวๆ เคลื่อนไหวกันอยู่เช่นกัน
การประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2568 คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2568 ในวันนั้นจะได้ตัวประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ คนใหม่ ทันที
เมื่อถึงวาระเลือกตั้งประธานโอลิมปิคไทยคนใหม่ สมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” ที่เป็นสมาชิกของคณะกรรมการโอลิมปิคฯ รวม 37 สมาคม จะเสนอชื่อ “ผู้แทนสมาคม” เพื่อรับเลือกตั้งทำหน้าที่คณะกรรมการบริหารโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ วาระใหม่ จากนั้น 37 สมาคมจะโหวตเลือก 23 จาก 37 คน มาทำหน้าที่กรรมการบริหาร รวมกับผู้แทนคณะกรรมการโอลิมปิกสากลชาวไทย (คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล) และตัวแทนนักกีฬาโอลิมปิกชาวไทย (ปัจจุบันคือ ชนาธิป ซ้อนขำ เหรียญทองแดง โอลิมปิก 2012) รวมทั้งหมด 25 คน
จากนั้น 37 สมาคมกีฬาสมาชิก จะโหวตเลือก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ในคณะกรรมการโอลิมปิคฯ วาระใหม่ จำนวน 10 คน
เมื่อได้ผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มอีก 10 คนแล้ว รวมกับกรรมการบริหารชุดใหม่ 25 คน เป็นทั้งสิ้น 35 คน จะประชุมกันเพื่อจัดสรรตำแหน่งและเลือก “ผู้เหมาะสม” มาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ คนใหม่
ในกรณีที่มีผู้เสนอชื่อแข่งขันกันมากกว่า 1 คนขึ้นไป ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 35 คน จะลงคะแนนเลือกตั้ง “แบบลับ” แล้วจึงนับคะแนน
ว่ากันต่อไปอีกว่า ณ เวลาก่อนเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ 2568 เหลือแค่ 2 ขั้วที่จะชิงตำแหน่งประธานโอลิมปิคไทยคนใหม่คือ “พิมล VS ประวิตร” เพราะคุณหญิงปัทมาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ว่ากันต่อไปอีกว่า “บิ๊กป้อม” ออกอาการถอดใจอยากจะโบกมือลาจากวงการกีฬาของเมืองไทยแล้ว แต่คนใกล้ชิดอย่าง พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ยังมีความพยายามหว่านล้อมกล่อมให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงชิงเก้าอี้เป็นสมัยที่ 3 เพราะ “บิ๊กป้อม” ดึงทุนทรัพย์มาปรับปรุงบ้านอัมพวันเอาไว้แบบหรูหรา ถ้าทิ้งไปก็เหมือนสร้างบ้านใหม่ให้คนอื่นมาอยู่
“บิ๊กป้อม” มี 2 ทางเลือก 1. เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 เป็นอย่างช้า ต้องหาที่ไปนั่งบริหารตำแหน่ง “นายกสมาคมกีฬาใดกีฬาหนึ่ง” ให้ได้ หรือ 2.ถ้าข้อ 1 ไม่สำเร็จ “บิ๊กป้อม” ต้องไปขอให้สมาคมกีฬาใดกีฬาหนึ่งส่งชื่อ “บิ๊กป้อม” เป็นผู้แทนสมาคมฯ ไปนั่งเป็นกรรมการบริหารโอลิมปิคไทยชุดใหม่ แล้วไปลุ้นกันต่อที่การโหวตรายชื่อจาก 23 กรรมการบริหารว่า “ใคร” เหมาะสมนั่งประธานโอลิมปิคฯ คนใหม่
หรืออีกทาง พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา คงจะต้องเปลี่ยนหน้าไพ่ หรือเปลี่ยนตัวละคร มาเล่นในหมากนี้ใหม่ แต่จะเป็นใครช่างน่าติดตามยิ่งนัก
สายข่าวในบ้านอัมพวันยังกระซิบมาอีกว่า ยังมีเวลาอีก 3 เดือน มหกรรม “หักหลัง” เพื่อไปสู่ตำแหน่งประธานโอลิมปิคไทย ยังมีให้ติดตามกันอีกหลายเวอร์ชั่น
… แว่วมาว่าตัวละครลับที่ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ทาบทามให้มาชิงเก้าอี้เป็น นายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม นายกสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งอยู่ในก๊วนเดียวกัน
จากนี้ต้องจับตาคอยดูกันต่อไป รับรองมีเรื่องฮือฮา อีกหลายระลอกแน่ๆ และจะเป็นการวัดพลังกันระหว่างขั้วอำนาจเก่า vs ขั้วอำนาจใหม่ และสุดท้ายจะจบลงเช่นไรต้องติดตาม…