‘ช้างศึก’กับ’เอเชี่ยนคัพ’ เป้าหมายรอบ2ไม่เกินเอื้อม

จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการจับสลากแบ่งสายการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย “เอเชี่ยนคัพ 2019” ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 5 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ โดยครั้งนี้ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

ซึ่งผลปรากฎว่า “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยนั้น ต้องโคจรมาพบกับทีมเจ้าภาพในกลุ่มเอ พร้อมกับเพื่อนร่วมกลุ่มอีก 2 ทีม ก็คือ อินเดีย ทีมอันดับ 97 ของโลก และบาห์เรน ทีมอันดับ 116 ของโลก

ส่วนหนึ่งต้องบอกว่าอานิสงส์ของการที่ทีมชาติไทย สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย มาได้ ทำให้ทีมชาติไทยถูกจัดอยู่ในโถที่ 2 เพราะถ้าจาก 24 ทีม วัดอันดับโลกกันแล้ว ไทยคงไม่แคล้วตกไปอยู่โถสุดท้าย และอาจจะทำให้ต้องจับมาเจอกับทีมแข็งๆ กว่านี้ก็เป็นได้

ยิ่งดูจากการจับสลากในกลุ่มอื่นๆ ก็ต้องบอกเลยว่านี่ไม่ใช่งานที่หนักหนาเกินไป หรือว่าง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากสำหรับทัพช้างศึกอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอันดับโลก 122 นั้นจะเป็นรองทุกทีมในกลุ่มก็ตาม

Advertisement

มาดูข้อมูลของทีมร่วมกลุ่มกัน เริ่มที่ทีมแรกก่อน เจ้าภาพ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นับว่าเป็นชื่อที่แฟนฟุตบอลไทยคงจะคุ้นกันเป็นอย่างดี เพราะในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 44 และ 46 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้เชิญยูเออี มาร่วมแข่งขันด้วย เพียงแต่ยังไม่เคยได้เจอกันเสียที

แต่ทั้งสองทีมก็ได้โคจรมาเจอกันในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบ 12 ทีมสุดท้าย ซึ่งผลงาน 2 นัด ไทยบุกไปพ่ายที่กรุงอาบูดาบี 1-3 ก่อนที่จะกลับมาเสมอที่ราชมังคลากีฬาสถาน 1-1

สรุปการเจอกันของไทยกับยูเออีนั้น เจอกันมาทั้งหมด 9 ครั้ง โดยไทยชนะได้เพียงครั้งเดียว เสมอ 2 และแพ้ไปถึง 6 เกมด้วยกัน ทำได้ 8 ประตู และเสียไป 14 ประตูด้วยกัน

Advertisement

ทีมต่อมาคืออินเดีย เห็นอย่างนี้อินเดียสามารถผ่านเข้ามาสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลเอเชี่ยนคัพ ได้เป็นสมัยที่ 4 แล้ว ซึ่งผลงานที่ดีที่สุดของพวกเขานั้นคือการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเมื่อปี ค.ศ.1984 โดยสถิติการเจอกันของทีมชาติไทยกับอินเดียนั้น ไทยเหนือกว่า เพราะเจอกันมา 21 ครั้ง ไทยชนะได้ถึง 11 ครั้ง เสมอกัน 4 ครั้ง และไทยแพ้ไป 6 ครั้ง ไทยทำได้ 36 ประตู เสียไป 21 ประตู

ครั้งสุดท้ายที่ทีมชาติไทย ได้ปะทะฝีเท้ากับทีมชาติอินเดีย ต้องย้อนไปยังปี 2010 ซึ่งเกมนั้นเตะกันแบบเหย้า-เยือน เกมในบ้านเล่นที่ ยามาฮ่า สเตเดียม หรือ เอสซีจี สเตเดียม ในปัจจุบัน ซึ่งไทยเอาชนะไปได้ 1-0 ก่อนจะบุกไปชนะที่นิว เดลี ได้ 2-1 ซึ่ง 3 ประตูที่เกิดขึ้นใน 2 เกมนั้น มาจาก ศรายุทธ ชัยคำดี, ธีรเทพ วิโนทัย และ กีรติ เขียวสมบัติ

ทีมสุดท้ายคือทีมชาติบาห์เรน จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทีมขาประจำ ที่ผ่านเข้ามารอบสุดท้ายเอเชี่ยนคัพได้แล้ว 6 ครั้ง เคยได้อันดับสูงสุดคืออันดับ 4

บาห์เรน ถือว่าเป็นทีมที่มีสถิติการเจอกับทีมชาติไทยค่อนข้างสูสี เจอกันมา 7 ครั้ง ไทยชนะได้หนเดียว แพ้ไป 2 ครั้ง แต่เสมอกันถึง 4 ครั้งด้วยกัน

ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือเกมอุ่นเครื่องเมื่อปี 2015 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยเกมนั้นเสมอกันไป 1-1 โดยไทยออกนำก่อนจาก จักรพันธ์ แก้วพรม ก่อนจะถูกตีเสมอในช่วงท้ายเกม

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลเอเชี่ยนคัพ ครั้งนี้ จากในรอบแรกที่มีถึง 24 ทีม จะหาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยจะดูจากแชมป์และรองแชมป์กลุ่มทั้ง 6 กลุ่ม บวกกับอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีม จะเป็น 16 ทีมที่ได้เข้ารอบน็อคเอาท์

ดังนั้นจากการที่ทีมชาติไทยนั้นถูกจับให้มาอยู่ในกลุ่มเอ ซึ่งคู่แข่งนั้นถือว่าพอต่อกรกันได้อย่างสูสี และมีโอกาสชนะได้ ทำให้มองว่าโอกาสที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 2 ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักนั้นไม่ใช่งานที่ยากเกินไป

นอกจากนี้ยังมองว่าทีมชาติไทย มีความได้เปรียบ จากการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันของฟุตบอล “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018” ที่จะแข่งในช่วงปลายปี ก่อนที่จะเข้าสู่เอเชี่ยนคัพนั้น

โดยจากการเปลี่ยนระบบมาใช้แบบไม่มีเจ้าภาพ แล้วแบ่งการแข่งขันเป็น เหย้า 2 นัด เยือน 2 นัดนั้น ทำให้แต่ละทีมจะส่งผู้เล่นได้ถึง 45 คน ใช้ตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แค่ก่อนเตะแต่ละนัดจะต้องตัดเหลือ 23 คนเท่านั้น ดังนั้นเป็นโอกาสที่จะได้ลองนักเตะ และคัดเลือกผู้เล่นที่ดีที่สุดไปได้

และในช่วงเอเชี่ยนคัพ แน่นอนว่าจะได้ 3 นักเตะเจลีก “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา, “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ที่ไม่ได้เล่นซูซูกิ คัพ กลับมาช่วยทีม ก็จะยิ่งกลายเป็นทีมชาติที่แกร่งที่สุดชุดหนึ่ง

สิ่งสำคัญในการเตรียมทีม สมาคมฟุตบอลฯ คงต้องหาทีมจากตะวันออกกลาง มาอุ่นเครื่องให้มากขึ้น หากจะเตรียมความพร้อมให้ได้มากที่สุด รวมถึงมิโลวาน ราเยวัช กุนซือใหญ่ก็ต้องทำการบ้าน หาข้อมูลของคู่แข่งให้มากที่สุด

ในเมื่อมีโชคจากการจับสลากแล้ว หากมีการเตรียมความพร้อมกันอย่างดี เชื่อว่าเป้าหมายการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image