ตะกร้อไทย ตั้งกฎเหล็กเงินอัดฉีดนักกีฬา บิ๊กต้อมทุบโต๊ะไม่เกิดเหตุซ้ำรอย
ความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีเรื่องเงินรางวัลอัดฉีดของนักกีฬาตะกร้อทีมชาติไทย หลังจากจบมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่นครหางโจว ประเทศจีน ซึ่งได้มีเรื่องการทำข้อตกลงเงินแบ่งอัดฉีด 10.1 ล้านบาทของนักกีฬาตะกร้อ 30-50% จากเงินอัดฉีดที่นักกีฬาแต่ละคนได้รับจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้กับสต๊าฟโค้ชนั้น
ล่าสุด “บิ๊กต้อม” นายธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เรื่องเงินรางวัลอัดฉีดของนักกีฬาตะกร้อนั้น ทางคณะกรรมการกำลังพิจารณาการตัดสินกันอยู่ ยังไม่จบ และจะมีพิจารณากันต่อในเรื่องของการสอบสวน ส่วนตัวไม่ได้หนักใจอะไร เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และเป็นประเพณีของนักกีฬากับเจ้าหน้าที่
“ซึ่งตรงนี้ก็พยายามจะชี้แจง และคุยกันกับทางผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง โดยล่าสุดได้มีการพูดคุยกันว่า อยากจะให้เรื่องที่ผ่านมาจบไป และเราก็มาเริ่มต้นกันใหม่ว่า ต่อจากนี้ทางสมาคมกีฬาตะกร้อฯจะเดินหน้าแบบไหนต่อไปก็เป็นเรื่องที่ได้พูดคุยกัน ส่วนเรื่องการฟ้องก็เป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า”
นายธนากล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมาคมโดยตรง แต่ว่าเป็นการร้องการหักเงินของนักกีฬาที่มากเกินไป ซึ่งวันนี้เราก็ได้เชิญตัวแทนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) มาร่วมให้คำปรึกษา และชี้แจงด้วยว่าสมาคมมีอำนาจลงโทษมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากว่าเรื่องการหักเงินรางวัลเป็นการโอนเงินให้กับนักกีฬาทุกคนไปแล้ว และนักกีฬาก็นำไปมอบให้กับผู้ที่มีส่วนร่วมในการแข่งขัน อย่างเช่น ผู้ฝึกสอน ตัวสำรอง เจ้าหน้าที่ต่างๆ เป็นการมอบให้กันเองโดยเป็นข้อตกลงของนักกีฬาและเจ้าหน้าที่
“ทางการกีฬาแห่งประเทศไทย ก็ได้รับไปพิจารณาว่าการลงโทษจะลงโทษในข้อหาอะไร และตรงกับกฎกติการะเบียบข้อไหนของสมาคม ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นการหารือกับทางการกีฬาแห่งประเทศไทยด้วยครับ”
นายกสมาคมกีฬาตะกร้อไทยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ในเรื่องเงินรางวัลของนักกีฬาที่ได้มีการพูดคุยกันไว้ก็คือ เราจะมีระเบียบต่างๆ ในการให้เงินสนับสนุน อย่างเช่น โค้ชก็ได้เงิน 20 เปอร์เซ็นต์จากยอดเงินรางวัลของนักกีฬาอยู่แล้ว ก็ไม่ควรที่จะรับเงินอีก และเราก็จะมีการตั้งกติกาของผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม และโค้ช รวมทั้งถึงนักกีฬาก็จะมีข้อตกลงร่วมกัน เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์เหมือนที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาเกิดขึ้นใหม่อีก เพราะเรื่องนี้เป็นประเพณีที่ผ่านมา และเราก็มานั่งคุยกันในคณะกรรมการชุดใหม่ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอนาคตอีกต่อไป
