สพฐ.-สอศ. จับมือจีน ยกระดับทักษะภาษา-วิชาชีพ ปั้นเด็กรุ่นใหม่สู่ตลาดแรงงานโลก
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในช่วงเสวนาเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน ตอนหนึ่งว่า ในฐานะที่ดูแลการศึกษาขั้นพื้นฐานดูแลนักเรียนทุกระดับ ประมาณ 6 ล้านคน ซึ่งทรัพยากรมนุษย์ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีความสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะต้องเตรียมเด็กให้มีความพร้อมทุกๆ ด้าน ตามหัวข้อการเตรียมคนสู่อนาคต พัฒนาสู่ทักษะอาชีพ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เองก็ได้มุ่งเน้นในการทำงานด้านนี้ โดยเร่งสร้างปลูกฝัง พัฒนานักเรียนให้เป็นไปตามนโยบาย เรียนดีมีความสุข โดยมองอนาคตของเด็กว่าจะทำอย่างไรให้เรียนจบแล้วมีงานทำ ซึ่งก็จะต้องคิดหาวิธีสร้างพื้นฐานให้เด็กสามารถต่อยอดสู่ด้านอื่นๆ ได้
”ภาษาจีนเป็นภาษาหนึ่งที่ สพฐ.ให้ความสำคัญ เพราะเชื่อว่าการรู้ภาษาจีน จะทำให้เกิดการพัฒนาตนเองไปสู่อาชีพในอนาคตได้ ทั้งนี้ภาษาจีนยังเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนภาษาญี่ปุ่นและเกาหลีเนื่องจากมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันเพื่อเตรียมความพร้อมและปูพื้นฐานของเด็กให้มีความพร้อมสู่อาชีพในอนาคต สพฐ.เองได้มีโครงการที่สำคัญ เช่น การเปิดห้องเรียนภาษาจีน ที่มีการสอนในรายวิชาต่างๆเป็นภาษาจีนหลายโรงเรียน เพราะ สพฐ.ตระหนักถึงพื้นฐานของภาษาจีนที่สามารถต่อยอดให้เกิดประโยชน์ในอนาคตได้“ ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว
ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สพฐ.ได้เร่งการพัฒนาศูนย์ทดสอบภาษาจีนให้มีครบทุกจังหวัด เพื่อให้ครู บุคลากร และนักเรียนสามารถเข้าทดสอบพื้นฐานความรู้ภาษาจีน สพฐ.มุ่งเน้นในการพัฒนาครูและนักเรียนให้มีทักษะในการสื่อสารและเพื่อการศึกษาต่อ ขณะเดียวกันยังมีการเปิดโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูไทยและจีน โดยจะเห็นได้ว่ามีครูอาสาสมัครจากจีนมาสอนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ปีหนึ่งหลายพันคน เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เน้นย้ำว่า สพฐ. กำลังพัฒนาการศึกษา เพื่อให้เด็กสามารถนำความรู้ไปต่อยอดอนาคตของตนเองได้
ด้าน นายสง่า แต่เชื้อสาย รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า การปรับหลักสูตรให้ตอบโจทย์กับตลาดแรงงานเป็นหัวใจสำคัญในการจัดการอาชีวศึกษา การที่มีการเปลี่ยนด้านเทคโนโลยี ด้านอุตสาหกรรม สิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดำเนินการให้นักศึกษามีพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และได้ร่วมมือกับประเทศจีนมาตลอดหลายปี ในการปรับหลักสูตรการศึกษาให้มีความทันสมัย ยืดหยุ่น พอที่จะให้นักศึกษาของไทยออกสู่ตลาดในภูมิภาคได้ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการลงนามในความร่วมมือจัดทำหลักสูตรกับประเทศจีน เป็นหลักสูตรทวิภาคี 3 ปี โดยนักศึกษาจะได้เรียนที่ไทย 1 ปี เรียนที่จีน 1 ปี และปีสุดท้ายคือการฝึกงานที่สถานประกอบการในจีนหรือในไทยซึ่งจะเป็นไปตามข้อตกลงของสถานประกอบการ
“สอศ.ได้ดำเนินการโครงการดังกล่าวและเชิญผู้เชี่ยวชาญมาจัดทำหลักสูตรทั้งหมด 19 สาขาวิชา โดยสามารถทำให้สถาบันอาชีวะทั้วประเทศนำไปใช้จัดการเรียนการสอนไทยจีนได้ เป็นการปรับหลักสูตรที่มีการคำนวนถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหลักสูตรนี้ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี อุตสาหกรรมต่างๆ เนื่องจากได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆผ่านหลักสูตรนี้“ นายสง่า กล่าว
นายสง่า กล่าวต่อว่า หลักสูตรนี้ยังตอบโจทย์ในเรื่องนโยบาย 3 บวก 1 ของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ทั้งในเรื่องของภาษา นวัตกรรมอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งนี้หากจะทำให้เกิดคุณภาพและความสำเร็จจะต้องดำเนินการผ่านภาคีเครือข่ายความร่วมมือไทยจีนต่อไป เพื่อจะสร้างหลักสูตรที่ตอบโจทย์ทั้ง 2 ประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อไป ทั้งนี้จะมีอีกหลายโครงการที่อาชีวะไทยและจีนจะดำเนินร่วมกันเพื่อยกระดับแรงงานไทยในอนาคต
ด้าน น.ส.สุธาสินี ศุภศิริสินธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลได้ทำงานร่วมกับ สพฐ.ในโครงการ Connect ED และกับสอศ.ในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลมีความเข้าใจว่าจะพัฒนาศักยภาพให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทยอย่างไร ในส่วนของความร่วมมือกับ สอศ.เซ็นทรัลได้ร่วมมือกับวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุดรธานี โดยได้มีการทำโครงการร่วมกันเพื่อสร้างนักศึกษาที่มีความรู้ความสามารถด้านโลจิสติกส์ให้มีทักษะมากขึ้น ซึ่งได้มีการส่งนักศึกษาในโครงการไปเรียนรู้ที่ประเทศจีน และทางสถานประกอบการของเซ็นทรัลก็จะรับเด็กที่ไปเรียนรู้กับมาฝึกงานเป็นเวลา 1 ปี
“นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจในเรื่องของควรมรู้ภาษาจีนของครูอาชีวะไทย ซึ่งพบว่าครูยังต้องการที่จะเรียนรู้ภาษาจีนเพิ่ม ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลได้ทำความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) อุดรธาณี ให้นำครูสอนภาษาจีนเข้ามาสอนภาษาให้กับครูและนักเรียน และมีการทำค่ายการเรียนรู้ให้กับเด็กกลุ่มที่จะต้องไปเมืองจีนเพื่อสร้างพื้นฐานในภาษาจีนก่อนไปเรียนรู้จริง“
น.ส.สุธาสินี กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ก็ได้มีการติดตามนักศึกษาที่จบผ่านโครงการนี้และพบว่า นักศึกษาเหล่านั้นมีงานทำและได้รับเงินเดือนมากกว่าระดับปริญญาตรี ในอัตราเงินเดือน 35,000 บาท และในปัจจุบันนักศึกษากลุ่มนี้มีการพัฒนาเงินเดือนไปถึง 50,000 บาทเพราะมีความสามารถในการสื่อสารภาษาจีน ฉะนั้นการขยายการเรียนรู้ภาษาจีนไปอยู่ในทุกระดับการศึกษาของประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก