7 สายใย สายสัมพันธ์ภาคประชาชนไทย-จีน

7 สายใย สายสัมพันธ์ภาคประชาชนไทย-จีน

‘จีนไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ เป็นถ้อยคำที่นักการทูตไทย-จีนคุ้นเคยเสมอ เพราะมักปรากฏในร่างแถลงการณ์ร่วม หรือบทเปิดสนทนาระดับผู้นำ โดยฝั่งจีนจะใช้ว่า ‘จงไท่อี้เจียชิน’ (中泰一家亲) ‘จีนและไทยเป็นครอบครัวเดียวกัน’

‘จีนไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ ยังเน้นย้ำความหมาย ความสัมพันธ์ภาคประชาชน ซึ่งไม่เคยขาดตอน ต่อเนื่องมากกว่าเจ็ดร้อยปี ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรต่ออาณาจักร หรือรัฐต่อรัฐ ยังมีช่วงที่สะดุดหยุดลงเป็นระยะๆ ซึ่งอาจจะมาจากภาวะสงครามทั้งภายในและภายนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งนโยบายระหว่างรัฐที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกลับไม่เคยขาดช่วง จากอดีตสู่ปัจจุบัน และพัฒนาสู่การสร้างโอกาสแห่งอนาคต 7 สายใย

ต้นยำกุ้ง รสต้นตำรับ ที่ร้านรักไทย (ที่มา : เพจ thai.cgtn)

1.อาหารการกิน

ADVERTISMENT

จีน ได้ชื่อว่ามีวัฒนธรรมด้านอาหารที่ยิ่งใหญ่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทั้งภูมิปัญญาด้านแหล่งอาหาร และเทคนิคการทำอาหารให้สุกด้วยวิธีการกรรมวิธีต่างๆ กัน ก่อให้เกิดการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการประกอบอาหารตามกรรมวิธีนั้น คนไทยจึงรับเทคนิคการทอด ผัด หรือนึ่งมาจากจีน อาหารเส้นประเภทก๋วยเตี๋ยว ขนมจีบ หม้อไฟ อาหารตำรับสุขภาพต่างๆ อาทิ เต้าหู้ ซุป

ส่วนอาหารไทย ปัจจุบันก็เป็นที่นิยมในจีนมาก และการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ที่กรุงปักกิ่ง ร้านอาหารไทยยุคแรกจะมีรสชาติเพี้ยนไปจากรสดั้งเดิมของไทย เนื่องจากต้องปรับให้เข้ากับคนปักกิ่งที่นิยมรสเค็ม รสมัน แต่ร้านอาหารไทยยุคใหม่ชื่อ ‘รักไทย’ คือตัวที่ประสบความสำเร็จในเมนู ‘ต้มยำกุ้ง’ ด้วยการยืนยันในรสเปรี้ยวตามต้นฉบับ จนในที่สุดก็ได้รับการยอมรับ ประกอบกับมีชาวจีนที่มีประสบการณ์เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้ลิ้มรสอาหารไทยต้นตำรับเกิดติดอกติดใจ มาแสวงหา ‘รสไทยแท้’ ในเมืองจีน

ร้านอาหารไทยยังถูกเปรียบเสมือน ‘เมืองหลวงไทย’ ในปักกิ่ง เมื่อเวลาที่คนจีนมีกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับไทย เช่น การพูดคุยเรื่องดาราโปรดที่เป็นคนไทย ก็จะใช้ร้านอาหารไทยเป็นจุดนัดพบ สังสรรค์

2.วรรณกรรม

‘สื่อภูมิปัญญาจีน’ เริ่มจากพงศาวดาร เพื่องานใน ‘ราชการสงคราม’ สู่วรรณกรรมเพื่อมวลชน ดังเช่นที่หนังสือ ‘ชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์’ ของเสถียร จันทิมาธร ได้เสนอการแบ่งยุคของนิยายจีนในประเทศไทยออกเป็นสามยุคสำคัญ โดยครอบคลุมระยะเวลาราวสองศตวรรษ ตั้งแต่การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ.2325 จนถึงประมาณ พ.ศ.2530

ยุคแรก คือ ‘ยุคแห่งพงศาวดารจีน’ โดยมี ‘สามก๊ก’ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ 1 และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในรูปแบบวรรณคดีอิงพงศาวดาร วงจรของนิยายจีนในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2464-2475 แม้กระทั่ง ‘ยาขอบ’ หลงใหลวรรณกรรมจีนอีกครั้ง โดยนำตัวละครจากสามก๊ก มาเขียนเป็นฉบับวณิพกระหว่าง พ.ศ.2485-2496

ยุคที่สอง คือ ‘ยุควรรณกรรมก้าวหน้า’ หรือวรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยตรงจากขบวนการวรรณกรรมสมัยใหม่ในประเทศจีน โดยเฉพาะผลงานของนักเขียนแนวสังคมนิยมที่มีบทบาทสำคัญ เช่น หลู่ซวิ่น, ปาจิน และเหลาเส่อ รวมถึงเพิร์ล เอส. บัก (Pearl Sydenstricker Buck) ผลงานของนักเขียนเหล่านี้ถูกแปลและเผยแพร่ในไทยผ่านนักเรียนไทยที่เคยศึกษายังประเทศจีน โดยเฉพาะในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิด ‘ศิลปะเพื่อชีวิต’ และ ‘ศิลปะเพื่อประชาชน’ เริ่มปรากฏชัดในแวดวงวรรณกรรมไทย

แนวโน้มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารากทางความคิดของวรรณกรรมก้าวหน้าในประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากจีนมากกว่ายุโรป นักแปลที่มีบทบาทสำคัญในแนวทางนี้ ได้แก่ ‘สันตสิริ’ นามปากกาของสงบ สวนสิริ (พ.ศ.2452-2513)

ยุคที่สาม คือ ‘ยุคนิยายกำลังภายใน’ ซึ่งเริ่มต้นอย่างเด่นชัดหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2501 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยมี ‘มังกรหยก’ ของกิมย้ง แปลโดยจำลอง พิศนาคะ เป็นผลงานเปิดประตูสู่ยุคนี้อย่างแท้จริง ความนิยมของนิยายแนวนี้ขยายตัวรวดเร็ว และมีนักแปลหน้าใหม่เข้าสู่วงการติดตามจำนวนมาก ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือนามปากกา ว.ณ.เมืองลุง และ น.นพรัตน์

นิยายกำลังภายในเหล่านี้นอกจากสร้างความบันเทิงและอรรถรสให้กับผู้อ่านแล้ว ยังปลูกฝังจิตวิญญาณของการต่อสู้เพื่อปกป้องความเป็นธรรมในกลุ่มผู้อ่านรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกำลังหลักในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในระยะต่อมา

เฉิน เหว่ยเฉา มาฝึกมวยไทยตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่ค่าย ป.ประมุข ก่อนขึ้นชกอาชีพ จนคว้าแชมป์มวยไทยชิงแชมป์โลกในปี 2557 ปัจจุบันแต่งงานกับหญิงไทย และเปิดค่ายมวยอยู่ในประเทศไทย (ที่มา : เพจ thai.cgtn)

3.กีฬา

นับตั้งแต่ พ.ศ.2514 เป็นต้นมา ท่ามกลางความไม่มั่นใจของรัฐบาลไทย ควรจะดำเนินท่าทีอย่างไร กับ ‘จีนแดง’ ที่ประสบความสำเร็จในการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งยังมิได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย ได้เชิญคณะนักกีฬาเทเบิลเทนนิสไทยเข้าร่วมการแข่งขันเทเบิลเทนนิสเพื่อความชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 ณ กรุงปักกิ่ง ในช่วง 2-13 กันยายน 2515 ในคณะนักกีฬาไทย รัฐบาลได้ส่งนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายเศรษฐกิจ การคลังและอุตสาหกรรมของคณะปฏิวัติ เพื่อพบกับผู้นำระดับสูงของจีนเป็นครั้งแรก จากนั้นก็เกิดการเชื่อมความสัมพันธ์ผ่านกีฬาประเภทแบดมินตัน บาสเกตบอล จนนำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต และต่อจากนั้นโค้ชจีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากีฬาไทยหลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาแบดมินตัน

ปัจจุบัน ‘มวยไทย’ เป็นอีกหนึ่งสายใย สายสัมพันธ์ ที่อนาคตยาวไกล จากกีฬาเฉพาะกลุ่ม สู่กระแสหลัก (mainstream) โดยจุดเริ่มต้นการรู้จักมวยไทยเริ่มจากสื่อ ทั้งภาพยนตร์ (หนัง, การแข่งขัน ONE Championship) และนักมวยไทยที่ไปชกโชว์ในจีน

ยิมมวยไทยในจีนมักขายเป็นแพคเกจฟิตเนส แทนที่จะเน้นการแข่งขัน คนจีนยุคใหม่นิยมออกกำลังกายแบบ ‘Functional Training’ และมองว่ามวยไทยเป็นทั้งการต่อสู้+คาร์ดิโอ กลายเป็นกีฬาฟิตเนสยอดนิยมในเมืองใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กว่างโจว

นักศึกษาหลักสูตรแพทย์แผนจีน วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันตก ม.รังสิต

4.การแพทย์

ความสัมพันธ์ทางการแพทย์ระหว่างไทยและจีนมีรากลึกทางประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวจีนอพยพนำความรู้การแพทย์แผนจีนเข้ามาในไทย ทั้งสมุนไพร การฝังเข็ม และการนวดรักษา ในสมัยรัตนโกสินทร์ ยาจีนกลายเป็นที่นิยมในชุมชนชาวจีนและราชสำนัก เช่น ยาหม้อและยาลูกกลอน ต่อมาในรัชกาลที่ 5 มีการนำเข้ายาจีนอย่างเป็นระบบผ่านเรือสำเภา

เมื่อทั้งสองประเทศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต พ.ศ.2518 นอกจากคณะนักกีฬาแล้ว ไทยและจีนเริ่มแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะด้านการฝังเข็มและสมุนไพรจีน มหาวิทยาลัยการแพทย์ของทั้งสองประเทศร่วมมือกันวิจัย และไทยเริ่มรับรองสถานพยาบาลการแพทย์แผนจีน

5.การศึกษา

ความสัมพันธ์ด้านการศึกษาระหว่างไทยและจีน เป็นรากฐานสำคัญของอนาคตร่วมกัน กระทรวงศึกษาธิการจีน (MOE) รายงานปี 2022/2023 ระบุว่ามีนักศึกษาไทยในจีนประมาณ 28,000-30,000 คน ซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆ ของนักศึกษาต่างชาติในจีนจากอาเซียน ในขณะที่ China Scholarship Council (CSC) ระบุว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับทุนการศึกษาจีนมากที่สุด โดยในปี 2023 มีนักศึกษาไทยในจีนเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รายงานว่าในปี 2024 มีนักศึกษาจีนในไทย 28,052 คน หรือประมาณ 53% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาเรียนระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย

สาขายอดนิยมของนักศึกษาไทยในจีน 3 อันดับแรก คือ ภาษาและวัฒนธรรมจีน (35%) เพื่อเรียนภาษาจีนในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อทำงานด้านการค้า และการทูต รองลงมาคือ แพทยศาสตร์/ทันตแพทย์ (25%) และวิศวกรรมศาสตร์ (15%) โดยเฉพาะวิศวกรรม AI, หุ่นยนต์ และพลังงานสะอาด ส่วนสาขายอดนิยมของนักศึกษาจีนในไทย 3 อันดับแรก คือ ภาษาไทย/อาเซียนศึกษา (30%) เพื่อทำงานในบริษัทจีนที่ขยายกิจการในไทย/อาเซียน รองลงมาคือ บริหารธุรกิจ (25%) การท่องเที่ยวและบริการ (20%)

“เซียวจ้าน” ในบทปรมาจารย์อี้หลิง หรือ “เว่ยอิง” ในซีรีส์เรื่องดัง “ปรมาจารย์ลัทธิมาร” ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงติดเทรนด์ฮิตทุกตอนในไทย

6.ภาพยนตร์และซีรีส์

จากงิ้ว หุ่นกระบอก สู่ยุคปัจจุบัน คนไทยชื่นชอบภาพยนตร์และซีรีส์จีน โดยเฉพาะหลังปี 2000 ที่เนื้อหาหลากหลายขึ้น ทั้งแอ๊กชั่น-บู๊, โรแมนติกแฟนตาซี และพีเรียด ปัจจุบันซีรีส์จีนติดท็อป 5 บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในไทย

“เพราะเราคู่กัน” ซีรีส์แนว BL (Boys’ Love) จากไทย ที่จีนผลิตเองได้ยากเนื่องจากกฎหมายเซ็นเซอร์

ความปังของซีรีส์จีนในไทย มาจากความคุ้นเคยจากวรรณกรรมจีน : หลายเรื่องดัดแปลงจากนิยายดังที่คนไทยรู้จัก เช่น สามก๊ก มังกรหยก ความสวยงามของโปรดักชั่น งบประมาณสูง ฉากสวย คอสตูมแพง นักแสดงดาวดังที่คนไทยชื่นชอบ เช่น เซียวจ้าน, หยางมี่, หลี่เซี่ยน, หวังอี้ป๋อ โดยสามารถรับชมผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง : WeTV (Tencent), iQIYI และ Netflix ที่ซื้อลิขสิทธิ์เผยแพร่พร้อมซับไทย

เช่นเดียวกับภาพยนตร์และซีรีส์ไทยได้รับความนิยมในจีนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบุกเบิกด้วยหนังสยองขวัญ ที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ แปลกใหม่ มีวัฒนธรรมผีไทยที่คนจีนสนใจ อย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ที่มีการรีเมกเป็นเวอร์ชั่นจีน หนังแอ๊กชั่นที่ใช้จุดขาย คือ ศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทยที่ดุดัน เช่น ต้มยำกุ้ง หนังรัก/ชีวิต เช่น รักแห่งสยาม โด่งดังในกลุ่มวัยรุ่นจีน ด้วยเนื้อหาซึ้งกินใจ ส่วนซีรีส์ไทยที่ฮิตในจีน ได้แก่ ซีรีส์วัยรุ่น เช่น รักวุ่นวายเจ้าชายกบ ซีรีส์ BL (Boys’ Love) เช่น เพราะเราคู่กัน ซึ่งเป็นแนวที่จีนผลิตเองได้ยากเนื่องจากกฎหมายเซ็นเซอร์

7.การท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวไทย-จีนเป็นสายใยความผูกพัน ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ โดยจีนเป็นตลาดท่องเที่ยวสำคัญของไทย ในขณะที่จีนก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทยด้วย นักท่องเที่ยวจีนมุ่งสู่ไทย โดยมีจุดหมายยอดนิยม คือ กรุงเทพฯ (ช้อปปิ้ง-วัดพระแก้ว) พัทยา/ภูเก็ต (ทะเล-ไลฟ์สไตล์กลางคืน) เชียงใหม่ (วัฒนธรรมเหนือ-ดอยอินทนนท์) และมีกิจกรรมโปรดที่หลากหลาย อาทิ ช้อปปิ้ง (ย่านเยาวราช) ทัวร์วัดและอาหารไทย สปาและสุขภาพ

ในขณะนักท่องเที่ยวไทยในจีน อยู่ในเทรนด์เที่ยวเมืองใหญ่และธรรมชาติ จุดหมายยอดนิยม ได้แก่ ปักกิ่ง (หอฟ้าเทียนถาน-กำแพงเมืองจีน) เซี่ยงไฮ้ (หอไข่มุก-ดิสนีย์แลนด์) กุ้ยหลิน/หยางซั่ว (ทิวทัศน์แม่น้ำหลี) เสิ่นเจิ้น/กว่างโจว (ช้อปปิ้ง-เทคโนโลยี) ในขณะที่คนรุ่นเจนแซด ไทยนิยมเที่ยวเมืองรอง เช่น ซีอาน, หางโจว เพิ่มความสนใจ ทัวร์รถไฟความเร็วสูง โดยมีปัจจัยดึงดูด ได้แก่ เที่ยวได้หลายแบบ ทั้งเมืองและธรรมชาติ ค่าเงินบาทแข็งกว่าหยวน ทำให้ประหยัดกว่าเที่ยวยุโรป และการมีสายการบินโลว์คอสต์

‘จีนไทยมิใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ จึงไม่ใช่เพียงถ้อยคำ แต่คือความจริงที่สั่งสมผ่านกาลเวลา จากการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง การเคารพ ให้เกียรติ เปิดกว้าง และความร่วมมือในทุกด้าน ที่ทำให้สองชาติเป็นดั่งญาติสนิทที่ไม่อาจแยกจากกันได้