ก่อน-หลัง ความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ก่อน-หลัง ความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี
มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2568) ก็ครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่ถือเอา พ.ศ.2518 เป็นปีแรกของการสถาปนาความสัมพันธ์ของสองประเทศ ทั้งที่ในความจริงประเทศทั้งสองมีความสัมพันธ์กันมาก่อนหน้าแล้ว

ในโอกาสดังกล่าว นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 จึงจัดหนัก จัดเต็ม กับเนื้อหาว่าด้วยไทยและจีน ทั้งฉบับ ให้อ่านกันแบบจุใจ ส่วนจะมีเรื่องอะไร ขอป้ายยาเป็นตัวอย่างสัก 3 เรื่อง

หนึ่งคือ นักวิชาจีนศึกษาฝีมือฉกาจ รศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล อาจารย์พิเศษ จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับบทความชื่อ “ก่อนความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี”

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่ประธานาธิบดีหลี่ เซียน เนี่ยน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2528 (ภาพจากเว็บไซต์หน่วยราชการในพระองค์, https://www.royaloffice.th/07/10/2024/การทูตไทย-จีน-50ปี/)

ทั้งที่จริงแล้วไทยมีความสัมพันธ์กับจีนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมื่อศูนย์กลางแห่งอำนาจย้ายมาที่อยุธยา ความสัมพันธ์กับจีนก็มิได้ขาดตอน และต่อเนื่องมาสมัยกรุงธนบุรีกับสมัยรัตนโกสินทร์ ความสัมพันธ์ก็ยังคงดำเนินต่อไป

ADVERTISMENT

แต่ได้สะดุดหยุดลงครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด (พ.ศ.2488) สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือ รัสเซีย) อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน ร่วมกันจัดตั้ง “องค์การสหประชาชาติ” แทนที่องค์การสันนิบาตชาติ พ.ศ.2489
ไทยสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ เป็นเหตุให้ไทยต้องมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับชาติผู้ก่อตั้งองค์กรทั้งห้า

ก่อนหน้านั้นไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ และฝรั่งเศสแล้ว ยังขาดแต่สหภาพโซเวียตและจีน ไทยจึงฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับทั้ง 2 ชาติ

เติ้ง เสี่ยว ผิง ให้การต้อนรับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทย และคณะ ขณะเดินทางถึงกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2518 (ภาพจาก Facebook เพจ กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand)

ในส่วนของจีน หลังจากสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนได้ไม่นาน ก็ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ระหว่าง รัฐบาลสาธารณรัฐ (ที่นำโดยพรรคก๊กมินตั๋ง) กับ พรรคคอมมิวนิสต์จีน (พคจ.) ก่อนจะจบลงใน พ.ศ.2492 โดย พคจ.เป็นฝ่ายมีชัยชนะภายใต้การนำของเหมา เจ๋อ ตุง

แต่ก็ทำให้จีนมี 2 รัฐบาล คือรัฐบาลที่แผ่นดินใหญ่กับที่เกาะไต้หวัน การที่ 1 ประเทศ มี 2 รัฐบาล สมาชิกสหประชาชาติต้องให้การรับรองจีนใดจีนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้การรับรองรัฐบาลสาธารณรัฐจีนที่เกาะไต้หวัน

เพราะว่าขณะนั้นสหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจใหม่ฝ่ายเสรีนิยม แผ่อิทธิพลทางการเมืองไปทั่วโลก หลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยที่เป็นเสรีนิยมที่มีนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่แต่เดิม จึงมี นโยบายที่คล้อยตามสหรัฐอเมริกาไปด้วย

ความสัมพันธ์ไทย-จีน จึงมีอันให้สะดุดอีกครั้ง

หลายท่านที่สงสัยว่า ทำไมความสัมพันธ์ไทย-จีน จึงมีเพียง 50 ปี ถึงตรงนี้คงคลี่คลายไปบ้าง แต่ก่อนจะเปิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และคณะ จะเดินทางไปเยือนปักกิ่งใน พ.ศ.2518 นั้นเกิด “การทูตใต้ดิน” ขึ้นก่อน

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในนามรัฐบาลไทย จัดงานสันนิบาตเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีหลี่ เซียน เนี่ยน และภรรยา เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2528 ณ ทำเนียบรัฐบาล (ภาพจากศูนย์ข้อมูลมติชน)

สถานการณ์ในช่วงนี้ ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง อาจารย์จากวิทยาลัยการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา อธิบายไว้ในบทความชื่อ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” (一箭双雕) : “การทูตใต้ดิน” เชื่อมไมตรีไทย-จีนของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2498-2500)

หลังการพบปะกันระหว่างโจว เอิน ไหล และกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ในการประชุมกลุ่มประเทศเอเชีย-แอฟริกาไม่ฝักใฝ่ฝ่าย (NAM) ณ เมืองบันดุง อินโดนีเซีย เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2498 รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ส่ง “คณะทูตใต้ดิน” ไปจีน ในเดือนกันยายนปีเดียวกัน

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงส่งประธานาธิบดีหลี่ เซียน เนี่ยน และคณะไป จ.เชียงใหม่ (ภาพจากศูนย์ข้อมูลมติชน)

คณะทูตใต้ดินประกอบด้วย นายอารี ภิรมย์, นายกรุณา กุศลาสัย ตัวแทน จอมพล ป. และ นายเลื่อน บัวสุวรรณ นายสอิ้ง มารังกูล (ส.ส.บุรีรัมย์) กับ นายอัมพร สุวรรณบล (ส.ส.ร้อยเอ็ด) เป็นตัวแทนจอมพลผิน และ พล.ต.อ.เผ่า โดยมีนายอารีเป็นหัวหน้าคณะ เพราะไม่ได้เป็นข้าราชการประจำรัฐบาลจึงไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำ, เป็นเพื่อนสนิทของ นายสังข์ พัธโนทัย คนสนิทของ จอมพล ป. ที่สำคัญเขามีเพื่อนฝูงที่เป็นใหญ่เป็นโตอยู่ในเมืองจีน

หลังจากนั้นก็มี คณะผู้แทนจากวงการต่างๆ ได้ทยอยเดินไปเยือนจีนอย่างสม่ำเสมอ เช่น

คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายเทพ โชตินุชิต-หัวหน้าพรรคเศรษฐกร และคณะจำนวน 12 คน ออกเดินทางไปจีน (16 มกราคม-21 กุมภาพันธ์ 2499) ตามคำเชิญจากสมาคมวิเทศสัมพันธ์ประชาชน

คณะภิกษุไทย (4 รูป ได้แก่ พระมหามนัส พวงลำเจียก วัดมหาธาตุ, พระมหานคร เขมปาลี วัดมหาธาตุ, พระมหาโอภาส โอภาโส วัดเบญจมบพิตร และพระมหาสังเวียน เตชธโร วัดพระเชตุพนฯ) ตามคำเชิญของสมาคมพุทธศาสนาแห่งประเทศจีน (7 กันยายน-13 ตุลาคม 2499)

คณะผู้แทนเยาวชนไทย นำโดย นายสุวิทย์ เผดิมชิต ประธานนักศึกษาธรรมศาสตร์ และนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ รวม 7 คน เดินทางจากกรุงมอสโกหลังร่วมฉลองวันเยาวชนสากล มาเยือนจีน (2 กรกฎาคม 2500) ตามคำเชิญของสันนิบาตเยาวชนแห่งประเทศจีน

ฯลฯ

ภาพคณะทูตจากนานาประเทศที่มาถวายบรรณาการจักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง หนึ่งในนั้นมีทูตจากสยาม ภาพนี้เก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังปักกิ่ง (ภาพจาก https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/38/万国来朝图轴.清.绢本设色.25319×35632.北京故宫博物院藏.jpg)

ทำให้เกิดการติดต่อค้าขายระหว่างไทย-จีน, การหลั่งไหลทางวัฒนธรรม ภาพยนตร์ การค้าแลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากสหรัฐอเมริกาไม่เห็นด้วยและแสดงท่าทีที่หนักแน่นในการต่อต้านคอมมิวนิสต์

ขณะที่การเมืองไทยก็อยู่ในช่วงเวลาของความขัดแย้ง ที่ทุกฝ่ายต่างชิงไหวชิงพริบของ 3 ฝ่าย ระหว่างกลุ่ม จอมพล ป., กลุ่มของ พล.ต.อ.เผ่า และกลุ่มของจอมพลสฤษดิ์ จนในที่สุดก็เกิดการรัฐประหารขึ้นในวันที่ 16 กันยายน 2500 ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-จีนสะดุดอีกครั้ง

จนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และคณะ จะเดินทางไปเยือนปักกิ่งเพื่อเข้าพบประธานเหมา เจ๋อ ตุง ปีที่ 1 ของความสัมพันธ์ไทย-จีนจึงเกิดขึ้น

แล้วความสัมพันธ์ในระยะแรกๆ เป็นอย่างไร ศ.สิทธิพล เครือรัฐติกาล จากวิทยาลัยสหวิทยาการ และประธานสภาอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของสองประเทศในระยะแรกนั้นที่อุปสรรคและความหวาดระแวงกันอยู่บ้าง จนเมื่อเติ้ง เสี่ยว ผิง ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ ที่มุ่งสร้างความทันสมัยแบบสังคมนิยม ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ล่มสลายลงในเวลาใกล้เคียงกัน

ส่วนความสัมพันธ์ต่อจากนั้น ศ.สิทธิพล เครือรัฐติกาล นำเสนอบทความของเกาถง (ภรรยาเอกอัครราชทูตเสิ่นผิง) ที่เขียนเป็นภาษาจีน เผยแพร่ในสิ่งพิมพ์กระทรวงต่างประเทศจีนเมื่อ พ.ศ.2539
ที่เขาแปลเป็นภาษาไทยใช้ชื่อบทความ “ความสัมพันธ์จีน-ไทยจากประสบการณ์ของเอกอัครราชทูตเสิ่นผิงและภรรยา”

เสิ่นผิงเป็นเอกอัครราชทูตประจำไทยคนที่ 3 เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2524

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลจีน ระหว่างวันที่ 11-19 พฤษภาคม พ.ศ.2524 (ภาพจากสำนักข่าวซินหัว https://www.xinhuathai.com/high/38007_20190925)

หากก่อนที่เสิ่นผิงจะมาประจำการในไทย เขาและภรรยาเป็นหนึ่งในคณะผู้ติดตาม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระอิสริยยศขณะนั้น) เมื่อครั้งพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนจีน (พฤษภาคม พ.ศ.2524) ซีอาน เฉิงตู คุนหมิง และที่อื่นๆ

พ.ศ.2528 เสิ่นผิงเป็นเอกอัครราชทูตประจำไทยเป็นปีที่ 4 ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย ครบรอบ 10 ปี ประธานาธิบดีหลี่ เซียน เนี่ยน เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อฉลองความสัมพันธ์ของสองประเทศ

บทความทั้ง 3 เรื่องที่ยกมานี้เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนที่เจ้าของบทความนำเสนอไว้ ขอท่านผู้อ่านได้โปรดติดตามว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ไทย-จีน เกิดสะดุดในสมัยรัชกาลที่ 4, การทำงานของคณะทูตใต้ดินเป็นอย่างไร และบรรยากาศการฉลอง 10 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นอย่างไร เกาถงยังเห็นและถ่ายทอดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองประเทศอีก

ตลอดจนบทความอื่นๆ ที่สืบเนื่องจากความสัมพันธ์ไทย-จีน หรือได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน ที่นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนกรกฎาคมนี้ ตระเตรียมไว้ทั้งหมดนี้ ขอโปรดติดตาม