‘อุปทูตอู๋’ โชว์ 50 ปี สัมพันธ์ไทย-จีน ‘เจริญงอกงาม’ ยันไม่บีบเลือกข้าง หนุนมิตรยืนหยัดได้ด้วยลำแข้ง

‘อุปทูตอู๋’ โชว์ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน เจริญงอกงาม ยันไม่บีบให้เลือกข้าง หนุนมิตรยืนหยัดด้วยลำแข้ง – รับห่วงจีนเทา ลั่นยินดีช่วยตบแมลงวัน!

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ที่โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี เขตสาทร กรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน มูลนิธิคึกฤทธิ์ 80 ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดเวทีเสวนา “คึกฤทธิ์กับความสัมพันธ์ไทย-จีน”

บรรยากาศตั้งแต่เวลา 15.00 น. มีบุคคลสำคัญตลอดจนแขกผู้มีเกียรติร่วมงานอย่างล้นหลาม อาทิ นายสุทธิชัย หยุ่น ในฐานะอดีตผู้สื่อข่าวในเหตุการณ์ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นเมื่อ 1 กรกฎาคม 2518, นายพิรุณ ลายสมิตผู้อำนวยการกรรมการบริหารศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD), นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, นายกวี จงกิจถาวร นักข่าวอาวุโส, ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, น.ส.พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร หนึ่งในผู้เขียนหนังสือชุดประวัติจีนกรุงสยาม ตลอดจนนักวิชาการ นักเรียน นักศึกษาร่วมด้วยคับคั่ง

ต่อมาเวลา 16.45 เริ่มเวทีเสวนา “คึกฤทธิ์กับความสัมพันธ์ไทย จีน” โดย ดร.เตช บุนนาค อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง องค์ปาฐกคนที่ 1 ร่วมด้วย ดร.สารสิน วีระผล อดีตเอกอัตรราชทูตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ องค์ปาฐกคนที่ 2 และ นายอู๋ จื้ออู่ (Wu Zhiwu) อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย องค์ปาฐกคนที่ 3

ADVERTISMENT

ในตอนหนึ่ง อุปทูตอู๋กล่าวว่า ก่อนที่จะเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ขอเล่าเรื่องตอนที่ตนอายุ 5 ขวบ (ช่วงเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เมื่อ 50 ปีที่แล้ว) ตนเรียนภาษาไทยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เรียนมา 30 กว่าปีแล้ว

“ตอนนั้นบ้านผมอยู่ที่มณฑลกวางตุ้ง เมืองซัวเถา ตอนนั้นจีนกำลังพัฒนาใหม่ๆ แล้วระบบก็ยังไม่ได้เหมือนตอนนี้ สมัยก่อนทรัพยากรก็ไม่ค่อยเยอะ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มีการเปิดสอนภาษาต่างประเทศ หรือ สายศิลป์ ภาษาเดียวก็คือ ภาษาไทย อาจจะเป็นเพราะว่ามณฑลกวางตุ้ง มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย เพราะว่าในรุ่นของผมมีเพื่อน 4 คนที่ไปร่วมเรียนภาษานี้ ซึ่งหลายคนก็ได้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน” อุปทูตอู๋กล่าว

อุปทูตอู๋กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกดีใจ ซึ่งต้องยอมรับว่าวันนี้มาด้วยความตื่นเต้นโดยส่วนหนึ่งมาจากว่า เมื่อคืนทางสถานทูตจีนฯ กับ กระทรวงการต่างประเทศไทย เพิ่งจัดงานเลี้ยงรับรองเพื่อเฉลิมฉลอง 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนไป ซึ่งงานนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีแขกผู้มีเกียรติ และเพื่อนมิตรไปเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

“ผมก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หายจากงานของเมื่อคืน แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะงานวันนี้ ที่ได้มีโอกาสมาร่วมเสวนากับท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ทั้งบุคคลจากตำนานและตำรา เพราะว่าตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนหนังสือ เราก็ไม่ได้เรียนแค่ตัวภาษาไทยอย่างเดียว เราเรียกว่า ไทยคดีศึกษา ก็ได้มีชื่อหลายท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ที่อยู่ในตำราของเรา

โดยเฉพาะเมื่อสักครู่ที่ท่านอานันท์ ปันยารชุน เล่าถึงเรื่องในอดีต ทำให้นึกถึงหนังสือ “โจว เอินไหล ผู้ปลูกไมตรีไทย-จีน” ของคุณวรรณไว พัธโนทัย ซึ่งเป็นหนังสือที่ประกอบการเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งนอกจากหนังสือเล่มนั้นเราก็ได้เรียนหนังสืออีกหลายต่อหลายเล่ม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีนตั้งแต่สมัยสงครามเย็น จนได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกันในปี ค.ศ. 1975 เรียกว่า กว่าจะได้ความสัมพันธ์นี้มาไม่ง่ายเลย” อุปทูตอู๋กล่าวเผย

อุปทูตอู๋กล่าวอีกว่า เรื่องราวตั้งแต่ไปตั้งแต่ค.ศ.1975 เหมือนกับผ่านเวลามาไม่กี่ 10 ปี โดยที่มีผู้นำหลายท่านทั้งจากเมืองจีนและไทย พยายามผลักดันให้เกิดการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศของเราทั้งสอง

“ความสัมพันธ์นี้ที่เกิดขึ้นได้ เพราะว่า การได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 1975 พอดีสอดคล้องกับผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศในขณะนั้น และสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการต่างประเทศช่วงนั้นด้วย ซึ่งฝ่ายจีนตอนนั้นก็ได้เห็นพ้องว่า ต้องมีการผ่อนคลายความตึงเครียดต่อสหรัฐลง แล้ว ประเทศต่างๆ ที่อยากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ก็สามารถทยอยไปสร้างความสัมพันธ์กับจีนได้ ซึ่งภูภาคของเราก็มีฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ไปก่อนประเทศไทย

จนเมื่อปีค.ศ. 1975 เป็นปีที่ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง กลับมาทำงานหลังจากพักงานในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเป็นช่วงที่จีนกำลังสร้างมิตรกับหลายประเทศทั่วโลก โดยท่านประธานเหมาเจ๋อตงในเวลานั้น ท่านก็ได้เสนอทฤษฎี 3 โลก ว่าในโลกนี้นอกจากประเทศมหาอำนาจ 2 ประเทศ ระหว่างสหรัฐฯ กับ สหภาพโซเวียต และประเทศตะวันตกแล้ว แต่ยังมีประเทศโลกที่ 3 ซึ่งก็เป็นประเทศที่เราควรจะไปผูกมิตร ไปสร้างความสัมพันธ์อันดี โดยไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านี้ พอทางไทยได้เสนอเปิดความสัมพันธ์เข้ามาก็ตรงใจกัน แล้วก็ได้มีการสนองตอบอย่างแข็งขัน จนเกิดการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1975” อุปทูตอู๋กล่าว

อุปทูตอู๋กล่าวต่อว่า ท่านโจว เอินไหล ได้เจอกันท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช ที่โรงพยาบาลที่ท่านรักษาตัวอยู่ เพราะตอนนั้นท่านโจว เอินไหล ก็ป่วยมากแล้ว แต่ท่านก็ออกมาพบคณะไทย เนื่องจากเป็นคณะที่มีความสำคัญมาก โดยการสร้างสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย ก็ได้ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็วในอีกหลายปีต่อมา

“เราได้ร่วมมือกันอย่างดีในการแก้ไขสถานการณ์ในภูมิภาคของเราเป็นเวลาอีกกว่า 10 จนสามารถนำมาสู่การสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ จากความร่วมมือ และมีการเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้าได้ในที่สุด เราสามารถเรียกได้ว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ความสัมพันธ์ไทย-จีน ได้สร้างสันติภาพเสถียรภาพ ความเจริญให้กับภูมิภาคและโลกของเรา” อุปทูตอู๋ชี้

อุปทูตอู๋กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทย เราก็มักจะพูดคำว่า ‘จีนไทยใช่อื่นไกลพี่น้องกัน’ ตนสามารถเป็นพยานได้เลยว่า คำนี้ไม่ใช่แค่วาทกรรมทางการทูต แต่มันสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะคอนเซปต์นี้มีมาตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนภาษาไทย โดยตอนเรียนปี 3-4 ก็ได้ไปฝึกงานบริษัททัวร์ แล้วก็ได้ให้การต้อนรับคณะทัวร์คนไทย ไปตอนนั้นก็ได้มีความสัมพันธ์กับคนไทยธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน ตอนที่ได้พูดคุยกันก็เหมือนกับได้พูดคุยกับญาติพี่น้องกัน เพราะส่วนใหญ่ก็มีรกรากย้ายไปจากซัวเถา

อุปทูตอู๋กล่าวต่อว่า อีกประโยคหนึ่งที่อยากแบ่งปันกันทุกท่าน คือ เราเชื่อว่าจีนกับไทยเป็นแบบอย่างของประเทศ ที่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง สามารถเดินหน้าไปได้ แม้ว่าจะมีระบอบการปกครองที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นในหลักการ คือ เสถียรภาพ สันติภาพ เพื่อการพัฒนาความร่วมมือกันซึ่งกันและกัน เพื่อนนำความเจริญมาให้กับภูมิภาคของเรา เป็นสิ่งที่ตนเรียนรู้มา ตั้งแต่เริ่มเข้ากระทรวงฯ มาจนขณะนี้

“ความสัมพันธ์จีนกับไทยสามารถเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นในภูมิภาคกับ เช่น ปี ค.ศ.1999 ไทยได้เสนอให้ทำแถลงการณ์ความร่วมมือเพื่อมุ่งสู่ศตวรรษที่21 ระหว่างจีนกับไทย ต่อจากนั้นจีนก็ได้เอาข้อเสนอนี้ไปหารือกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน จนทำให้เกิดเป็นทวิภาคีในลักษณะที่คล้ายกันกับหลายประเทศอาเซียน และ ปี ค.ศ. 2012 ไทยก็เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้ร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ยกระดับความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนที่มีความร่วมมือแบบทวิภาคีกับประเทศจีน เราสามารถที่สร้างตัวอย่างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมา ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ชองเราทั้งสองเท่านั้น แต่เราทำให้ประเทศอื่นว่า เราจะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับจีน และสร้างประโยชน์ให้กับแต่ละประเทศได้” ” อุปทูตอู๋ระบุ

อุปทูตอู๋กล่าวอีกว่า ประโยคที่ 3 ที่อยากแบ่งปัน คือ จีนไทยสานใจกันร่วมสร้างฝันประชาคม โดยความหมายของคำว่า ประชาคมนี้ คือ ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงมั่งคั่งและย่างยืน

“ปีค.ศ.2022 ท่านสีจิ้นผิง ได้มาเยือนประเทศไทย แล้วก็มีการตกลงกับผู้นำประเทศไทยว่า จะมีการร่วมสร้างประชาคมกับไทย โดยการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ความเข้าใจของผมแล้ว ทั้งสองฝ่ายมีความไว้วางใจต่อกันสูง มีอะไรเราคุยกันได้ เราไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ของโลกภายนอก ซึ่งเรามีวุฒิภาวะมาพอที่จะพูดคุยร่วมมือกัน โดยมีความสัมพันธ์อันดีต่อไป” อุปทูตอู๋เผย

อุปทูตอู๋กล่าวอีกว่า ความมั่งคั่งเราสามารถที่จะนำพาความร่วมมือระหว่างเรา เพื่อประโยชน์ของประชาชนของเรา โดยตัวอย่างที่เห็นชัด คือ ปี 1975ผลการลงทุนมวลรวมไทย-จีนมีแค่ 23 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่ปีที่แล้วยอดมวลรวมการค้าระหว่างจีน-ไทย 134,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นหลายพันเท่า

“ไทยเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญและเป็นมิตรประเทศที่สำคัญที่สุดของจีนในภูมิภาคนี้ และความร่วมมือของเรามีมากกว่าการลงทุนและการค้า แต่ในด้านการศึกษามีนักเรียนที่ไปเรียนที่ประเทศจีน ตอนนี้เป็นอันดับ 1-2 และสถานกงสุลใหญ่ไทย ก็เปิดมากที่สุด หรือ เปิดเป็นอันดับ 1 ใหญ่เทียบเท่าประเทศอื่นๆ ซึ่งผมภูมิใจอย่างมาก แม้ว่าจะเกิดมาทำงานไม่ทันตอนเปิดความสัมพันธ์ แต่ก็มีส่วนเล็กน้อยๆ ในการร่วมสร้างความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศจวบจนทุกวันนี้” อุปทูตอู๋กล่าว

เมื่อถามว่า ในสถานการณ์โลกที่มีความผันแปรอย่างมาก มีคำแนะนำอย่างไร?

อุปทูตอู๋กล่าว ตนขอนำความกล่าวของท่านสี จิ้นผิงที่กล่าวว่า ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะผันแปรไปอย่างไร ขอให้ทำสิ่งรอบตัวให้ดีที่สุด แล้วเราจะสามารถไขคำตอบได้ ขอให้ถือจีนเป็นตัวอย่าง และขอให้มีความมั่นใจและศรัทธาในความสัมพันธ์ไทยกับจีน

เมื่อถามว่า สิ่งที่ท่านสี จิ้นผิง กล่าวเอาไว้ว่า “เราไม่บังคับให้เพื่อนเราที่เล็กๆ ต้องเลือกข้าง เพราะเราเข้าใจว่าทุกประเทศ ต้องเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนของประเทศตัวเองมากที่สุด” ความหมาย คืออะไร?

อุปทูตอู๋ กล่าวว่า แต่ละประเทศมีสิทธิที่จะกำหนดหนทางของตัวเอง แล้วจีนก็เคารพในสิทธิส่วนนี้ แล้วเราก็จะพยายามที่จะช่วยเหลือเพื่อนเรา ให้สามารถยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง และเลือกหนทางที่จะเดิน” อุปทูตอู๋กล่าว

เมื่อถามว่า เคยอ่านข่าวภาษาไทยที่นำเสนอเกี่ยวกับปัญหาจีนเทาหรือไม่?

อุปทูตอู๋กล่าวว่า เรื่องที่ว่า สีเทาๆ หรือ ทุนจีนสีเทา ตนไม่อยากใช้คำนี้ เนื่องจากว่าในประเทศไทยค่อนข้างจะผูกมัดกับประเทศตนเป็นพิเศษ ต้องบอกตรงๆว่า ตนไม่สบายใจ แต่เราก็ต้องยอมรับว่า ความสัมพันธ์เราพัฒนามาได้อย่างรวดเร็วในทุกมิติ

“ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ก็เคยกล่าวตอนที่เปิดประเทศว่า เราก็ต้องยอมรับว่า เมื่ออากาศสดชื่นมาแล้ว แมลงวันก็อาจจะเข้ามา แต่เราก็ต้องพยายามตบแมลงวัน ถ้ามีอะไรให้จีนช่วยตบ เราก็ยินดี”