นับจากวันนี้ จนกระทั่งงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็จะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทำให้ในหัวใจของคนไทย ไม่ว่าใครจะสามารถทำอะไรได้ ก็ต่างพร้อมใจกันลงมือลงแรงเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้กับพระองค์ ด้วยใจรักและภักดี อย่างการทำดอกไม้จันทน์
เช่นเดียวกับกลุ่มช่างจากกรมศิลปากรเหล่านี้ ที่มีโอกาสถวายงานในการจัดสร้างประติมากรรม จิตรกรรม พระเมรุมาศ และงานประกอบพระเมรุมาศในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งเช่นนี้
ทำให้ช่างเหล่านี้ต่างทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ให้สุดความสามารถ ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย
เกียรติศักดิ์ สุวรรณพงศ์ จิตรกรชำนาญการพิเศษ ผู้ออกแบบตราสัญลักษณ์ ภปร ที่อยู่บนฉากบังเพลิงในงานพระราชพิธี เปิดเผยว่า ก่อนจะมาทำฉากบังเพลิงครั้งนี้ เคยมีโอกาสได้วาดลายลงสีเทวดาบนฉากบังเพลิงในงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ซึ่งงานนี้ถือว่าใหญ่กว่าที่เคยทำมาถึง 2 เท่า
“การทำงานถวายเป็นพระราชกุศลครั้งนี้ เรียกว่าทำเต็มที่ 200 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ทุกขั้นตอนทำด้วยหัวใจอยากถวายชีวิตในเวลาจำกัดให้ดีที่สุด เพราะถือเป็นความภูมิใจที่ได้นำเอาความรู้ ความถนัดทางด้านจิตรกรรมที่มีมาถวายงานพระองค์ ที่ใครหลายคนอาจจะไม่มีโอกาสเช่นเรา และอยากจะให้งานชิ้นนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงออกถึงความรักของคนไทยในรัชกาลที่ 9” เกียรติศักดิ์กล่าว
ขณะที่ ลาภ อำไพรัตน นายช่างศิลปกรรม ที่ได้วาดภาพโครงการพระราชดำริต่างๆ ไว้ในส่วนล่างของฉากบังเพลิงจำนวน 24 ชิ้น 24 โครงการ อาทิ ดินพรุ ดินเปรี้ยว ปากพนัง ฝายกันน้ำทางภาคเหนือ เปิดเผยว่า เข้ารับราชการตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งตอนนั้นได้มีโอกาสปั้นคุณพระเศวตขนาดเท่าตัวจริง เพื่อนำไปตั้งไว้ในโรงช้างต้น ในสวนจิตรลดา ซึ่งไม่คาดฝันว่าครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ มาทอดพระเนตร ทรงโบกพระหัตถ์และทรงแย้มพระสรวลให้ ทำให้ดีใจเป็นอย่างมาก
“เราเองเป็นคนต่างจังหวัด ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าครั้งหนึ่งจะได้มีโอกาสถวายงานเป็นพระราชกุศลอย่างนี้ จึงถือเป็นความรู้สึกภูมิใจที่เอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ทั้งหมด เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากที่เก่ง มีฝีมือ แต่ไม่มีโอกาสเช่นเรา จึงพยายามชวนรุ่นพี่ที่เพาะช่างมาร่วมวาดภาพเป็นจิตอาสาบ้าง นอกจากเราจะภูมิใจแล้ว ครอบครัวก็ยังภูมิใจไปด้วย ภรรยาและลูกคอยดูแล ส่งอาหารและน้ำ คอยเช็ดพู่กันให้เวลาที่มีโอกาส เพราะเขาอยากจะมีส่วนร่วมสักครั้ง ซึ่งงานทั้งหมดเป็นงานปิดทองหลังพระที่ไม่อาจลงลายเซ็นในชิ้นงานได้ ก็ได้บันทึกภาพเอาไว้ นำไปสอนให้เด็กที่ต่างๆ เช่น ศิลปากร เพาะช่าง ให้เขาได้เห็นถึงความวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่แสดงออกผ่านโครงการพระราชดำริต่างๆ อย่างชัดเจน” ลาภเผย
อีกหนึ่งครูช่างที่เคยได้ถวายงานในพระราชพิธีพระศพมาหลายครั้ง ซึ่งปีนี้จะถือเป็นปีสุดท้ายของอาชีพราชการ จึงถือเป็นโอกาสที่จะได้ถวายงานในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย
พิจิตร นิ่มงาม นายช่างศิลปกรรมอาวุโส ที่รับหน้าที่จัดสร้างพระโกศจันทน์และฐานรองพระโกศ กล่าวว่า แม้จะพูดได้ว่างานครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจ เพราะเป็นงานช่วงสุดท้ายของข้าราชการในพระองค์ แต่ก็ไม่มีความดีใจที่ได้รับหน้าที่นี้ ในแต่ละวันที่ทำงานก็คิดว่าจะถ่ายทอดความรู้ครั้งนี้ให้กับคนรุ่นใหม่มากที่สุด ซึ่งช่างรุ่นใหม่หลายคนก็สนใจ คอยซักถาม และก็ทำงานอย่างตั้งใจเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้พระองค์ เรียกได้ว่าฝีมือไม่เท่าไหร่แต่มีใจที่เต็มที่ ก็ถือได้ว่าเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ในการอนุรักษ์งานฝีมือช่างไทยแบบโบราณให้อยู่ถึงลูกหลาน
เช่นเดียวกับ ศุภากร โนนแก้ว นายช่างศิลปกรรมปฏิบัติงาน ช่างใหม่ที่เพิ่งได้บรรจุรับราชการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ด้วยมีประสบการณ์ด้านงานพัสตราภรณ์ จึงได้มีโอกาสได้ร่วมปักธงสามชายงอน พระวิสูตร รวมถึงจัดทำสายรัดพระวิสูตรใหม่จากเดิมเป็นผ้า ให้เป็นคริสตัลโดยได้แรงบันดาลใจจากข้อพระกร ไปจนถึงงานปิดกระจกต่างๆ สำหรับพระมหาพิชัยราชรถ
ซึ่งแม้จะเป็นเด็กจบใหม่ที่ได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็พร้อมทำเต็มที่สุดความสามารถ เพราะไม่คาดคิดว่าเด็กช่างธรรมดาจะมีโอกาสได้ถวายงานที่ยิ่งใหญ่ตามสิ่งที่ถนัดได้เช่นนี้ สร้างความภูมิใจไปถึงครอบครัวที่สนับสนุนอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะต้องทำงานอย่างหนัก และทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงอุตสาหะช่วยเหลือประชาชนตามถิ่นทุรกันดาร นำมาสู่ความสำเร็จต่างๆ จึงถือพระองค์เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้ทำงานครั้งนี้
ด้วยหัวใจภักดิ์
