“26 ตุลาคม 2560” …ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

แต่ก่อนแต่ไรมา วันที่ 26 ตุลาคม เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งในหน้าปฏิทินของเรา เพราะมิได้เป็นวันที่มีความหมายพิเศษอะไรสำหรับคนไทย แต่นับตั้งแต่พุทธศักราช 2560 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอีกนับล้านคนที่จำได้ว่า วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคมของปีนี้ เป็นวันที่คนทั้งประเทศได้พบเห็นและมีส่วนร่วมสนองพระเดชพระคุณในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และทรงเป็นที่รักภักดียิ่งของพวกเราทุกคน

ก่อนถึงวันงานพระราชพิธีดังกล่าวมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศจำนวนมากทยอยกันเดินทางเข้ามาบ้านเราเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรายงานข่าวงานพระราชพิธีครั้งนี้ไปสู่สายตาของชาวโลก นักข่าวจากสำนักข่าวหลายแห่งขวนขวายทำการบ้านล่วงหน้าเพื่อเตรียมข้อมูลให้แม่นยำและเพียบพร้อม มีหลายคนมาพบปะเพื่อพูดคุยกับผมเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมประเพณีของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เกี่ยวกับงานพระบรมศพ

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ข่าวเรื่องนี้จะเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก เพราะนับตั้งแต่วันสวรรคตเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว การเตรียมการเพื่อจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นที่จับตาของชาวโลก เขาบอกว่าพิธีการที่จัดตามโบราณ ราชประเพณีเช่นนี้ไม่เคยมีใครเห็นมานานแล้วผมก็ยอมรับว่าความจริงเป็นเช่นนั้น เพราะงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยครั้งสุดท้าย

คืองานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร มีขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2493 ก่อนปีเกิดของผมเสียด้วยซ้ำ

Advertisement

เมืองไทยครั้งนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารที่เดินทางจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งก็ยังไม่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพเท่าปัจจุบัน อาจจะกล่าวได้ว่างานถวายพระเพลิงพระบรมศพครั้งนี้เป็นวาระแรกในประวัติศาสตร์ที่จะมีการถ่ายทอดสดภาพเหตุการณ์เผยแพร่ทางโทรทัศน์ไปสู่สายตาของผู้ชมทั้งในประเทศและต่างประเทศในเวลาเดียวกันกับที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์จริงกำลังเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่ด้วยสายตาตนเอง

ผมบอกกับผู้สื่อข่าวจากนานาชาติเหล่านั้นด้วยว่า ครั้งนี้ก็จะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมเหมือนกันที่จะได้พบกับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย ผมประมาณไม่ถูกว่าจะมีผู้คนเข้ามาเกี่ยวข้องกับงานสำคัญครั้งนี้มากน้อยเพียงใด ลำพังเพียงแค่จำนวนผู้คนกว่า 12 ล้านคน ที่เดินทางมาจากทุกมุมของประเทศเพื่อมาถวายบังคมพระบรมศพขณะประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นเวลาหนึ่งปีเศษ ก็เป็นจำนวนตัวเลขที่มากมายเกินกว่างานพระบรมศพ หรืองานพระศพที่มีมาแต่ก่อนเป็นอันมากแล้ว

เมื่อได้ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุมาศจำลองขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและในทุกจังหวัดทั่วประเทศเป็นจำนวนถึง 88 แห่ง อีกทั้งยังมีซุ้มสำหรับวางดอกไม้จันทน์เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งแห่งงานพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้อีกจำนวนเกือบหนึ่งพันซุ้ม กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร และในทุกอำเภอทั่วราชอาณาจักร สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมยังนึกไม่ออกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้นบ้าง ก่อนวันงานระยะหนึ่งห้างร้านขนาดใหญ่รวมทั้งร้านสะดวกซื้อประกาศล่วงหน้าจะปิดบริการ เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานของห้างและของร้านได้ไปวางดอกไม้จันทน์พร้อมกันกับคนทั้งประเทศ

Advertisement

ใครต่อใครพบหน้ากันก็มักจะถามกันว่าในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ (ซึ่งทางราชการประกาศเป็นวันหยุดราชการ) จะไปทำอะไรที่ไหนกันบ้าง

ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม หรือวันปิยมหาราชของปีนี้ ผมได้ยินเรื่องราวจากแวดวงญาติมิตรและลูกศิษย์ว่ามีผู้ที่ผมรู้จักคุ้นเคยหลายคนได้เตรียมความพร้อมของตัวเองที่จะไปนอนค้างอ้างแรมอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับจุดคัดกรองในบริเวณโดยรอบพื้นที่สนามหลวง เพื่อรอเวลาตีห้า หรือ 5 นาฬิกาของวันพุธที่ 25 ตุลาคม อันเป็นกำหนดที่เจ้าหน้าที่จะเปิดจุดคัดกรองเพื่อให้ประชาชนเข้าไปจับจองพื้นที่ริมเส้นทางที่ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง จะยาตราไปยังพระเมรุมาศที่ท้องสนามหลวง

ส่วนใหญ่ของบรรดาผู้ที่มีความมุ่งมั่นและมุ่งหมายดังกล่าววางแผนที่จะไปรอเป็นส่วนหนึ่งของคิวเข้าแถวตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคมตอนบ่าย บางคนถือคติไม่ประมาทได้ไปนอนอยู่ริมถนนตั้งแต่ค่ำวันที่ 23 ตุลาคมแล้วด้วยซ้ำไป

เมื่อได้เห็นภาพของท่านเหล่านั้นไปนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ใกล้กับจุดคัดกรอง ไม่ว่าจะเป็นย่านท่าเตียน หรือบริเวณโดยรอบกระทรวงมหาดไทยโดยยอมอดทนต่อความยากลำบากทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของห้องสุขา

ก็ทำให้ผมมีความตื่นเต้นและเพิ่มพูนความตระหนักในหัวใจของตัวเองว่า งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพครั้งนี้มีความหมายสำหรับคนไทยทุกคนเป็นอย่างยิ่ง

ในที่สุดวันเวลาก็เคลื่อนไปตามปฏิทิน เวลาบ่ายสามโมง วันพุธที่ 25 ตุลาคม มีการบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ คือการบำเพ็ญพระราชกุศลครั้งใหญ่ครั้งสำคัญ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ก่อนที่จะเชิญพระบรมศพไปที่พระเมรุมาศในวันรุ่งขึ้น ในวันนั้นมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แต่ผมมัววุ่นวายอยู่เพราะมีผู้สื่อข่าวจากนิตยสารรายสัปดาห์ เลอ ฟิกาโร (Le Figaro) จากฝรั่งเศสมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับงานครั้งนี้ ต่อด้วยการบันทึกเทปรายการโทรทัศน์ของช่องสาม เพื่อเตรียมไว้สำหรับออกอากาศในเย็นวันที่ 27 ตุลาคม ผมจึงไม่ได้ชมการถ่ายทอดพระราชพิธีดังกล่าว มาได้เห็นภาพข่าวอีกครั้งก็ในช่วงข่าวในพระราชสำนัก

ค่ำวันนั้นผมนอนไม่ดึกนัก ด้วยความตั้งใจที่จะตื่นก่อนหกโมงเช้าสักเล็กน้อยเพื่อจะชมรายการโทรทัศน์ที่เขาแจ้งข่าวว่าจะเริ่มการถ่ายทอดสดตั้งแต่เวลา 6 นาฬิกา

เช้าวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม ผมตื่นขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วก็เปิดโทรทัศน์ดูรายการของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย รายการช่วงแรกเป็นสารคดีเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จนใกล้เวลา 7 นาฬิกา จึงเป็นการถ่ายทอดสดเหตุการณ์จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระราชพิธีจริงเริ่มต้นขึ้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินถึงในเวลาประมาณ 7 นาฬิกาเศษ จากนั้นเหตุการณ์ก็เป็นไปตามลำดับพิธี ตั้งแต่เจ้าพนักงานเชิญพระลองลงจากพระแท่นสุวรรณเบญจดลเพื่อไปประดิษฐานบนพระยานมาศสามลำคาน ซึ่งเทียบอยู่ที่เกยลา ตรงแนวกันกับประตูที่กำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เมื่อประดิษฐานพระลองบนพระยานมาศแล้วเจ้าพนักงานประกอบพระโกศทองใหญ่ ซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 แล้วเคลื่อนพระยานมาศจากเกยลาที่นั้นผ่านประตูสรีสุนทรและประตูเทวาภิรมย์ ไปประจำตำแหน่งอยู่ที่กลางถนนมหาราช ซึ่งมีริ้วขบวนตอนหน้าและตอนหลังยืนรออยู่แล้ว

ผู้ที่ชมรายการถ่ายทอดวันนั้นคงจำได้ดีว่า เจ้าพนักงานที่เป็นคนหามพระยานมาศผลัดละ 60 คน ทำหน้าที่ได้อย่างเรียบร้อยงดงามและสมควรอัศจรรย์ใจยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่เชิญพระยานมาศซึ่งมีพระโกศทองใหญ่และคุณหมอท่านหนึ่งทำหน้าที่เป็นภูษามาลาประคองหน้าพระโกศผ่านประตูสรีสุนทรซึ่งมีความสูงไม่มากนัก พลหามทั้งปวงต้องเดินย่อเพื่อให้ยอดของพระโกศทองใหญ่ไม่ติดกับยอดประตู ผ่านมาได้หน่อยหนึ่งเป็นทางเนินลาดชันขึ้น พลหามก็ต้องเดินย่อเพื่อปรับระดับของพระยานมาศให้สม่ำเสมอไม่เอียงหรือเทไปทางหนึ่งทางใดจนเป็นอันตราย ผ่านความยากลำบากมาสองแห่งแล้ว แห่งที่สามคือที่ประตูเทวาภิรมย์ พลหามทั้งปวงก็ต้องเดินย่ออีกครั้งหนึ่ง

ภาพที่ได้เห็นจากจอโทรทัศน์วันนั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าการฝึกซ้อมไม่ได้ทำอย่างเอาจริงเอาจังและทำด้วยหัวใจของเจ้าพนักงานทุกคน

เมื่อพระยานมาศเข้าประจำที่ในริ้วขบวนกลางถนนมหาราชแล้ว เจ้าพนักงานเชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรคันดานขึ้นกางกั้นเหนือพระโกศทองใหญ่ คุณหมออีกท่านหนึ่งทำหน้าที่ภูษามาลาขึ้นประคองหลังพระโกศ เมื่อทุกอย่างพร้อมเพรียงแล้วก็เริ่มยาตราขบวน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธออีกสามพระองค์ตามพระบรมโกศ

ระหว่างยาตราขบวนไปตามถนนมหาราชแล้วเลี้ยวซ้ายตรงบริเวณท่าเตียนเข้าสู่ถนนท้ายวังซึ่งมีผู้คนเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งราชวิถี นอกจากเสียงปี่และเสียงกลองชนะซึ่งเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยสำหรับริ้วขบวนเช่นนี้แล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษคือวงโยธวาทิตบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สี่เพลง คือเพลงมาร์ชราชวัลลภ เพลงมาร์ชธงชัยเฉลิมพล เพลงใกล้รุ่ง และเพลงชะตาชีวิต อารมณ์ของผมขณะที่เห็นภาพและได้ยินเสียงทั้งหมดคือความรู้สึกสะอึกสะอื้นขึ้นมาในหัวอก อดคิดไม่ได้เลยว่าเมื่อทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงเหล่านี้ไม่เคยมีใครคิดเลยว่าเพลงไพเราะล้ำค่าทั้งสี่เพลงจะได้นำมาบรรเลงในริ้วขบวนของงานพระบรมศพพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นคีตกวีเจ้าของบทประพันธ์เหล่านี้

ริ้วขบวนดังกล่าวใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงบริเวณวัดพระเชตุพนฯ ณ ที่นั้นมีพระมหาพิชัยราชรถเทียบรออยู่ เมื่อเชิญพระโกศทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานบนพระมหาพิชัยราชรถแล้ว ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศก็เริ่มยาตราไปตามแนวถนนสนามไชย เพื่อไปยังพระเมรุมาศ ถึงเวลานี้ผมไม่สามารถจะชมการถ่ายทอดสดต่อไปได้แล้ว เพราะเป็นเวลาที่ต้องแต่งตัวด้วยเครื่องแบบเต็มยศเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีในช่วงบ่าย

ผู้ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเวลาบ่ายต้องเดินทางไปยังจุดนัดหมายของแต่ละคนที่ได้รับแจ้งล่วงหน้าไว้แล้ว เช่น สมาชิกราชสกุลขึ้นรถรวมกันที่กรมทางหลวง ถนนศรีอยุธยา คณะทูตทั้งปวงพบกันที่กระทรวงการต่างประเทศ คณะรัฐมนตรีและผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการจำนวนมากพบกันที่ทำเนียบรัฐบาล ข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งพร้อมกันที่โรงเรียนจิตรลดา ส่วนของผมนั้นจุดนัดหมายรวมพลคือที่วังรื่นฤดี สุขุมวิทซอย 38 เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วผมก็ออกจากบ้านในเวลาใกล้ 11 นาฬิกา เพื่อจะได้ไปถึงจุดนัดหมายไม่ช้ากว่า 11 นาฬิกา 30 นาที ตามกำหนด

วันนี้ผมแต่งตัวเต็มยศขับรถไปเอง เพราะพนักงานขับรถของผมขอลาไปเพื่อวางดอกไม้จันทน์ในส่วนของเขาเอง และผมก็ยิ่งกว่ายินดีที่จะให้เขาได้ทำตามความปรารถนา การขับรถตรงไปตรงมาจากบ้านไปซอยสุขุมวิท 38 ไม่เป็นปัญหาอะไรเลยสำหรับผม

ที่วังรื่นฤดีผมได้รับบัตรเชิญของผมซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ส่งไว้ให้ที่นั่นพร้อมบัตรแสดงตนสำหรับเข้างาน มีผู้ที่มาขึ้นรถที่เดียวกันสัก 70 คน โดยใช้รถตู้จำนวน 9 คันเป็นพาหนะเดินทาง สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยหรืออย่างน้อยก็คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว มีทั้งข้าราชบริพารในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และข้าราชบริพารในสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี และท่านผู้ใหญ่จากหน่วยงานอื่นด้วย หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่ทางวังรื่นฤดีจัดเตรียมไว้ให้แล้วเราก็เริ่มเดินทางในเวลาประมาณบ่ายโมงเศษนิดหน่อย

ผมนั่งอยู่รถตู้หมายเลข 7 มีสมาชิกในรถทั้งหมด 8 คน มีรองศาสตราจารย์ธัชชัย สุมิตร อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณหญิง ดร.วินิตา ดิถียนต์ หรือ ว.วินิจฉัยกุล นักเขียนฝีมือระดับศิลปินแห่งชาติ และอาจารย์แพน หรือเผ่าทอง ทองเจือ ที่มีคนรู้จักกันทั่วประเทศอยู่แล้ว เป็นต้น

ขบวนรถตู้ทั้งหมดมีรถจักรยานยนต์ของตำรวจสองคันอำนวยความสะดวกในการเดินทาง รถของเรามาขึ้นทางด่วนที่ด่านอาจณรงค์ใกล้กับท่าเรือคลองเตย แล้วมาลงทางด่วนที่ด่านยมราช

ทันทีที่ลงสู่พื้นราบและรถวิ่งเข้าถนนพิษณุโลก สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือต้นไม้สองข้างทางที่เคยพบเห็นเป็นต้นไม้ธรรมดาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บัดนี้มีต้นกล้วยไม้พร้อมดอกสีเหลืองและดอกสีขาวแซมสลับกัน ประดับอยู่ทุกต้นไป ที่เกาะกลางถนนก็มีพวงมาลัยดอกดาวเรืองขนาดใหญ่วางทอดเป็นระย้าตลอดแนวยาว พอจะจับความได้ว่าเส้นทางที่เราเดินทางผ่านนี้เป็นเส้นทางหลักที่พระราชอาคันตุกะผู้มาร่วมงานพระราชพิธีฯ จะเสด็จหรือเดินทางผ่านด้วย ที่สามแยกหน้าสนามม้านางเลิ้ง รถของเราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนครสวรรค์ เมื่อข้ามสะพานเทวกรรมรังรักษ์ไปแล้ว การจราจรสำหรับรถทั่วไปปิดสนิท เห็นผู้คนแต่งชุดดำหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนมากเดินมุ่งหน้าไปทางถนนราชดำเนิน ร้านรวงที่อยู่สองข้างทางหลายแห่งตั้งโต๊ะไว้หน้าร้าน พร้อมวางอาหารและเครื่องดื่มไว้บริการ หลายร้านมีป้ายตัวโตๆ ติดไว้ว่าขอเชิญเข้าห้องน้ำที่นี่ได้ นี่แหละน้ำใจของเราชาวไทย ผมอาจจะกล่าวได้ว่าผู้คนที่พบเห็นบ่ายวันนั้นไม่มีเสื้อผ้าสีอื่นเลยนอกจากสีดำ

เมื่อรถวิ่งไปใกล้จะสุดถนนนครสวรรค์ตรงที่เชื่อมต่อเข้าถนนราชดำเนินกลางบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ รถของเราต้องหยุดรอเพราะเปิดโทรศัพท์มือถือชมการถ่ายทอดพระราชพิธีจากท้องสนามหลวงแล้ว ได้ทราบว่าการพระราชพิธีที่ดำเนินมาแต่ช่วงเช้ายังไม่เสร็จสิ้น เวลานั้นกำลังเชิญพระบรมโกศซึ่งประดิษฐานบนราชรถปืนใหญ่เวียนพระเมรุมาศ เคียงข้างกันกับขบวนรถตู้ของเรามีรถโดยสารสีส้มของ ขสมก. ซึ่งจัดเป็นรถบริการสำหรับแขกผู้รับเชิญเข้าร่วมงานพระราชพิธีอีกจำนวนหนึ่งจอดรออยู่เหมือนกัน มองขึ้นไปบน “รถเมล์” เห็นข้าราชการผู้ใหญ่สวมสายสะพายนั่งกันอยู่เต็มรถ ผมโทรศัพท์ถามลูกศิษย์ที่ประจำอยู่จุดนัดหมายแห่งอื่นก็ได้ความอย่างเดียวกันว่า ขบวนรถสำหรับแขกทั้งหลายต้องรอให้งานพระราชพิธีที่ท้องสนามหลวงช่วงนี้เสร็จสิ้นก่อน ทุกคนจึงจะเดินทางเข้าไปได้

เราใช้เวลารออยู่นานพอสมควร เห็นจะประมาณชั่วโมงเศษ เมื่อพระราชพิธีดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว อาจารย์แพนผู้ที่นั่งอยู่ตอนหน้าของรถซึ่งมีมุมมองกว้างและไกลกว่าผมซึ่งนั่งอยู่ตอนหลังรถได้ส่งเสียงบอกว่า เห็นขบวนรถยนต์พระที่นั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปแล้ว จากนั้นไม่นานรถที่จอดนิ่งทั้งหลายก็เริ่มเคลื่อนตัว รถโดยสารสีส้มขนาดใหญ่ที่อยู่ซ้ายมือของผมไปก่อน แล้วตามด้วยรถตู้ของผมและคณะ พอข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ภาพที่เห็นต่อหน้าคือผู้คนมืดฟ้ามัวดินอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา จะเว้นว่างก็แต่พื้นที่จราจรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดไว้สำหรับขบวนต่างๆ เดินทางเข้าออกเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนฝั่งด้านขวามือของผม คือฝั่งตรงกันข้ามกับหอนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ได้กันพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของถนนสำหรับให้ประชาชนซึ่งล้นจำนวนจากบาทวิถีลงมาเดินบนพื้นผิวถนนได้สะดวก

สังเกตเห็นได้ว่าผู้ที่อยู่แถวหน้าริมเส้นทางจราจรโดยมากนั่งลงกับพื้นแล้ว ส่วนที่ผู้ที่อยู่แถวหลังออกไปยังเดินไปเดินมาอยู่บ้าง ที่เห็นได้ถนัดคือบริเวณที่เคยเป็นสำนักงานสลากกินแบ่งมาแต่เดิมมีการสร้างพระเมรุมาศจำลองขึ้นองค์หนึ่งในที่นั้น มีผู้คนเข้าแถวยืดยาวเพื่อรอขึ้นวางดอกไม้จันทน์

พิธีแบบนี้ได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งประเทศตั้งแต่เวลาเก้าโมงเช้ามาแล้วและยังไม่เคยขาดคนเลยแม้แต่ที่เดียว

ใกล้จะบ่ายสี่โมงขบวนรถของผมก็จอดที่ริมถนนราชดำเนินในบริเวณด้านหน้าศาลฎีกา ตรงกันข้ามกับทางเข้าสู่มณฑลพระราชพิธี สองฟากของถนนแน่นเนืองไปด้วยผู้คนที่ผ่านจุดคัดกรองมาตั้งแต่ตีห้าหรือเช้าตรู่ของวันพุธที่ 25 นั่นหมายความว่าผู้คนที่ผมเห็นหน้าขณะนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นมาเกินกว่า 24 ชั่วโมงแล้ว จากจุดลงรถเราเดินเข้าไปในเขตรั้วราชวัติ ตำแหน่งทางเดินเข้างานของเราอยู่ตรงกับพระเมรุมาศฝั่งด้านทิศตะวันออกตรงกึ่งกลางพอดี ที่ประตูทางเข้าผมยืนถวายคำนับอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเงยหน้ามองขึ้นไปบนพระเมรุมาศ ที่พระจิตกาธาน

ข้างบนนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพของ “พระเจ้าอยู่หัว” ที่ผมเป็นข้าแผ่นดินของท่านมาตลอดชีวิต ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทุกอย่างดูงุนงงไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่ยืนบอกหนทางอยู่ตรงนั้น ที่นั่งของผมตามป้ายที่ติดตัวอยู่บอกว่าอยู่บนพระที่นั่งทรงธรรมมุขด้านทิศเหนือ

ผมค่อยๆ เดินตามคนอื่นไปจนถึงที่นั่งของตัวเองแล้วพยายามเรียกสติกลับคืนมา

พระที่นั่งทรงธรรมเป็นพระที่นั่งขนาดใหญ่ จุคนได้ประมาณสามพันคน ตรงกลางพระที่นั่งเป็นที่ประทับพร้อมด้วยอาสน์สงฆ์ มีปีกซ้ายขวาไปทางทิศเหนือและทิศใต้ อาคารทั้งหลังมีเครื่องปรับอากาศ มีไฟฟ้าแสงสว่าง รายละเอียดการประดับตกแต่งทุกอย่างเห็นได้ชัดว่าตั้งใจทำด้วยความประณีต จากที่นั่งของผมมองไปทางขวามือเห็นผนังขนาดใหญ่เขียนภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับโครงการตาม

พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 บริเวณที่ผมนั่งอยู่ไม่มีจอโทรทัศน์ มีแต่เพียงลำโพงกระจายเสียงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ให้เราได้ยิน แต่ที่ดีที่สุดก็คือเมื่อมองเฉียงซ้ายไปนิดเดียว มองทะลุกระจกออกไป พระเมรุมาศก็ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เป็นความงามที่มองแล้วไม่รู้เบื่อ แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนในหัวอกไม่รู้หาย

ผมนั่งประจำที่ได้ไม่นานฝนก็ตกหนักจนกระทั่งอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าผู้คนที่อยู่ตามถนนหนทางต่างๆ ที่เราได้ผ่านมาแล้วจะเปียกปอนและหนาวเย็นสักปานใด แต่อีกมุมหนึ่งของหัวใจผมก็รู้ว่า จะไม่มีใครถอยกลับบ้านเป็นอันขาด เพราะเขาตั้งใจจะมาส่งเสด็จพระผู้เป็นเจ้าของเขา พลังหัวใจเข้มแข็งอย่างนี้ฝนฟ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ฝนตกหนักอยู่ประมาณ 40 นาทีฝนก็เริ่มซาและขาดเม็ดไปในที่สุด

ฟ้ากลับมาสว่างเหมือนเดิม ทุกอย่างพร้อมสำหรับการพระราชพิธีสำคัญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

พอได้เวลา 17 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาที่พระที่นั่งทรงธรรม แล้วการพระราชพิธีทั้งหลายก็เริ่มต้นขึ้น ลำดับแรกคือการถวายพระธรรมเทศนาในศราทธพรตคาถา โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จบแล้วพระสงฆ์สวดศราทธพรตคาถา จากนั้นพระสงฆ์อีกจำนวน 89 รูป เท่าปีแห่งพระชนมพรรษาสดับปกรณ์ พระราชพิธีทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง จนถึงเวลาประมาณ 18 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นสู่พระเมรุมาศ จากตำแหน่งที่ผมยืนเฝ้าฯ อยู่บนพระที่นั่งทรงธรรม ผมย่อมไม่เห็นว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างบนพระเมรุมาศ แต่ผมได้ยินเสียงเหตุการณ์สำคัญทั้งหลายอย่างชัดเจน ตั้งแต่เสียงแตรนอน เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี

แต่ที่สะเทือนเข้าไปในหัวอกที่สุดก็คือวินาทีที่ปืนใหญ่เริ่มยิงสลุตนัดแรกในจำนวน 21 นัดตามพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ พร้อมกันกับที่วงดุริยางค์บรรเลงเพลงพญาโศกซึ่งเป็นเพลงโศกประจำชาติ

เสียงปืนใหญ่นัดนั้นและนัดต่อๆ มาเหมือนเสียงคนมาย่ำอยู่ในหัวอก น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้ม ผมพยายามข่มกิริยาไม่ให้ส่งเสียงดังเกินไปกว่านั้น อีกไม่กี่นาทีต่อมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่พระที่นั่งทรงธรรม จากนั้นเป็นลำดับขึ้นถวายพระเพลิงของเจ้านายฝ่ายไทย พระราชวงศ์และผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองในตำแหน่งหน้าที่สำคัญต่างๆ และคณะทูตานุทูตจากทุกประเทศ

เมื่อหมดจำนวนนี้แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปฏิสันถารกับสมเด็จพระราชาธิบดี ประมุขของรัฐ พระราชวงศ์ และผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศจำนวนรวม 40 กว่าประเทศที่เสด็จหรือเดินทางมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ เจ้านายพระองค์อื่นก็เสด็จพระราชดำเนินและเสด็จกลับไปโดยลำดับ

ทางฝ่ายภายในบริเวณพระเมรุมาศ เจ้าหน้าที่นำพานวางดอกไม้จันทน์มาตั้งที่ประตูทางลงจากพระที่นั่งทรงธรรม วาระนี้เป็นช่วงเวลาที่ผมและผู้คนทั้งหลายจะได้ขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพ ผมค่อยๆ เดินเรียงแถวจากเก้าอี้ที่นั่งไปรับดอกไม้จันทน์ที่ประตูแล้วเดินลงจากพระที่นั่งเดินมุ่งไปทางลานกว้างหน้าพระเมรุมาศฝั่งทิศเหนือ เมื่อผมเดินไปถึงเห็นมีแถวของผู้ที่เดินมาก่อนหน้าผมขึ้นพระเมรุมาศไปแล้ว ผมเดินเข้าไปต่อแถวซึ่งท้ายแถวอยู่ที่กลางลาน ยังไม่ขึ้นชั้นชาลาหรือชั้นลดของพระเมรุมาศ เจ้าหน้าที่จัดให้มีแถวของคณะจิตอาสาซึ่งเชิญดอกไม้จันทน์จากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศอยู่ตอนหน้าของผม เมื่อถึงแถวของพวกเรา ได้รับคำแนะนำให้เดินเป็นแถวหน้ากระดานเรียงสี่ แล้วค่อยๆ เดินเข้าใกล้พระเมรุมาศไปโดยลำดับ

ทุกก้าวที่เดินสืบเท้าเข้าไป ผมเข้าใกล้พระเมรุมาศเข้าไปทุกที พระจิตกาธานและส่วนบนของพระโกศไม้จันทน์ก็เห็นได้ชัดถนัดตา ทุกอย่างสวยงามเหลือเกิน เหมือนเมืองเทวดา เหมือนเมืองสวรรค์ แต่ถ้าต่อรองแลกเปลี่ยนได้ ผมไม่อยากเห็น ไม่อยากมีอะไรทั้งนั้น ถ้าจะทำให้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นยังอยู่กับพวกเราได้

เมื่อค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปจนถึงชั้นชาลาที่สอง ผมยกมือขึ้นพนม ในมือมีทั้งดอกไม้จันทน์ที่ได้รับมาเมื่อครู่ พร้อมกับธูปเทียนของส่วนตัวที่เตรียมมาเองจากบ้าน และธูปเทียนของน้องชายที่ “จบ” ขึ้นเหนือเศียรเกล้าพร้อมด้วยน้ำตาฟูมฟายเมื่อตอนเช้าวันนี้ฝากมา

นึกกราบบังคมทูลพระกรุณาอยู่แต่ในใจว่าพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ล้นที่พ้นจริงๆ ขอกราบถวายบังคมด้วยความภักดีสืบไปทุกภพทุกชาติ

ผมเดินใกล้พระจิตกาธานเข้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าพระจิตกาธาน เห็นหีบไม้จันทน์ประกอบหีบพระบรมศพ ตอนบนของหีบมีพระโกศไม้จันทน์ตั้งเด่นเป็นสง่า จากทิศที่ผมเดินตรงเข้าไปซึ่งเป็นทิศด้านเหนือ เจ้าหน้าที่บอกว่าจะเดินอ้อมไปด้านตะวันออกเพื่อวางดอกไม้จันทน์ที่เบื้องล่างของหีบพระบรมศพก็จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ท่านที่เดินมาข้างหลังซึ่งมีจำนวนมากสามารถเดินได้เร็วขึ้น ผมทำตามคำแนะนำนั้น แล้วไปยืนนิ่งอยู่หน้าหีบพระบรมศพ สองมือที่พนมถือดอกไม้จันทน์และธูปเทียนยกขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้งหนึ่งแล้ววางทุกอย่างในมือลงที่ใต้หีบพระบรมศพ

ใครเลยจะห้ามน้ำตาไม่ให้หยาดได้ เพียงชั่วเสี้ยวนาทีที่อยู่ตรงนั้น เป็นเวลาที่มีความหมายสำหรับผมเหลือเกิน

สำหรับชีวิตหนึ่งที่มีท่านเป็นหลักของโลกมานานมาหกสิบสองปี ผมหันหลังกลับแล้วเดินลงจากพระเมรุมาศ ตลอดเวลาที่เดินลง มือผมจับราวบันไดไว้มั่น เพราะน้ำตายังกลบลูกตาอยู่ มองเห็นทางไม่ถนัด ค่อยๆ เดินลงบันไดมาทีละก้าวทีละขั้นจนถึงที่พื้นดิน หันหลังกลับไปพระจิตกาธานก็ยังอยู่ตรงนั้น

ผมคุกเข่าลง ถวายบังคมสามลาด้วยน้ำตาที่ยังนองหน้าและด้วยหัวใจที่แห้งผาก แล้วเดินเงียบๆ กลับไปนั่งที่เดิมของตัวเองบนพระที่นั่งทรงธรรม เพื่อรอเวลาที่ทุกคนพร้อมเพรียง แล้วจะได้เดินทางกลับวังรื่นฤดีด้วยกัน

ระหว่างทางไปพระที่นั่งทรงธรรม เหลียวดูทางซ้ายมือเห็นว่าโขนซึ่งเป็นมหสพสมโภชรายการหนึ่งได้เริ่มลงโรงแล้ว ตัวโขนบางตัวโลดแล่นอยู่ตามบทบาทที่ลานระหว่างพระที่นั่งกับพระเมรุมาศ ขณะที่ผู้แสดงโขนอีกจำนวนหนึ่งยังรอลำดับการแสดงของตนที่จะออกโรงอยู่ในเส้นทางที่ผมเดินผ่าน เมื่อขึ้นไปบนพระที่นั่งคราวนี้ มีเจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังนำหนังสือที่ระลึกงานพระบรมศพเรื่อง “บรมกษัตริย์วัฒนสถาน” มาให้กับผู้ร่วมงานทุกคน

ผมสังเกตว่าผู้ที่เดินกลับลงมาจากพระเมรุมาศมีหน้าตาท่าทีทำนองเดียวกันทั้งนั้น คือน้ำตาเพิ่งแห้งหรือยังไม่แห้ง ผมรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งหมายความว่าเป็นเวลาประมาณสามทุ่มเกือบครึ่งแล้ว ผู้รับผิดชอบประสานงานในกลุ่มของเราก็แจ้งว่าให้เราเดินไปตรงตำแหน่งประตูทางเข้าที่เราเดินเข้ามาเมื่อตอนเย็น แล้วรถจะมารับเราที่นั่น

ครั้นเมื่อเราไปถึงจุดนั้นแล้ว รถของเรายังเข้ามาไม่ได้ เพราะใกล้เวลาที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินกลับมาเพื่อถวายพระเพลิงจริงแล้ว ขบวนรถของแขกทั้งหลายที่เดินทางกลับอาจจะไปสวนทางหรืออยู่ในเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอให้เรารอจนกว่าจะเสด็จพระราชดำเนินถึง ประมาณเวลาสี่ทุ่ม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จพระราชดำเนินมาที่พระเมรุมาศอีกครั้งหนึ่ง และมีขบวนรถยนต์พระที่นั่งของเจ้านายอีกหลายขบวนตามมาติดๆ กัน ผมถวายคำนับจากจุดที่ยืนอยู่ซึ่งอยู่ไกลจากเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเอาการ ได้เห็นแต่เพียงรถพระที่นั่งอยู่ไกลลิบเกือบสุดสายตาหลังจากที่ยืนอยู่ ณ จุดนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง เมื่อเจ้านายเสด็จพระราชดำเนินและเสด็จมาครบทุกพระองค์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็จัดให้รถเข้ามารับพวกเรา

ในราวเกือบห้าทุ่มผมกลับมาถึงวังรื่นฤดี แล้วขับรถกลับบ้าน เมื่อรถเข้าปากซอยบ้านตัวเอง ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ปากซอยบ้านปิดไฟมืดมิด ทั้งๆ ที่ร้านยี่ห้อนี้ไม่เคยปิดทำการเลยแม้แต่วันเดียวตั้งแต่เปิดร้านมา เมื่อถึงบ้าน ผมถอดเครื่องแต่งตัวที่พะรุงพะรังออกแล้วล้างหน้าล้างตา มีผู้ส่งข่าวและภาพที่ถ่ายจากนอกบริเวณรั้วราชวัติของพระเมรุมาศมาให้ดูว่าการถวายพระเพลิงจริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพราะมีผู้เห็นควันสีขาวอบอวลอยู่ที่พระเมรุมาศ สามารถสังเกตเห็นได้แต่ไกล เพียงเท่านี้ก็ดูเหมือนจะพอแล้วที่ผมจะบอกกับตัวเองว่า

“พระกิตติคุณของพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้น ย่อมหอมทวนลมไปในสารพัดทิศ และไม่จำกัดด้วยกาล ตราบใดที่ยังมีคนไทยอยู่บนแผ่นดินผืนนี้ ตราบนั้นพระปรมาภิไธยของพระองค์จะยังคงเป็นที่กล่าวขานสืบเนื่องไปไม่รู้สุดสิ้น”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image