คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10 และ 11 ชะลอการบังคับใช้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายแก่การศึกษาของชาติดีไหม โดย ศ.ดร.ธีระ รุญเจริญ

ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาผ่านไลน์ “ปฏิรูปการศึกษา 2559” ค่อนข้างต่อเนื่อง เป็นข่าวสารที่เกิดจากคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10 และ 11 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2559 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และเรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค

ข่าวสารจากไลน์ “ปฏิรูปการศึกษา 2559” เป็นข่าวสารที่เกิดจากการเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นของบุคคลหลากหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มนักวิชาการ คณาจารย์ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และประชาชนผู้มีโอกาสได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของโรงเรียน นอกจากนั้น ข่าวสารที่เกิดจากวงเสวนาของครูและผู้บริหารสถานศึกษาตามภูมิภาคต่างๆ ก็มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายประเด็น คู่ควรแก่การนำวิเคราะห์และศึกษา

ผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นผ่านไลน์และที่เข้ามาร่วมวงเสวนากลุ่มย่อยได้แสดงความกังวลใจและห่วงใยกับผลกระทบของคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 10, 11 ที่จะเกิดขึ้นกับการบริหารและการจัดการการศึกษาอยู่หลายประเด็น ที่สำคัญๆ พอสรุปได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ก่อให้เกิดความขัดแย้งในเรื่องบทบาท (Role Conflict) ของหน่วยงานและบุคลากรในหน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาค การที่คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคโดยที่ไม่ได้ยุบเลิกคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 และเป็นอำนาจหน้าที่ที่คล้ายๆ กันกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามคำสั่งฉบับที่ 10 และ 11 ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นเลขานุการของคณะกรรมการย่อมก่อให้เกิดความขัดแย้งและความไม่ชัดเจนแก่บุคลากรในหน่วยงาน บุคลากรระดับปฏิบัติในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีการพูดคุยกันว่า “เขาจะยุบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วใช่ไหม” ทั้งๆ ที่ผู้บริหารระดับสูงเพียรพยายามชี้แจงแล้วหลายครั้ง แต่ความสงสัยเหล่านี้ยังคงมีอยู่

ในระดับภูมิภาค คำสั่งฉบับที่ 10, 11 ก่อให้เกิดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด โดยไม่ได้ยุบสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและไม่ได้ยกเลิกอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แต่มีการโอนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเขตพื้นที่ และอำนาจหน้าที่ของ อกคศ.เขตพื้นที่การศึกษาไปเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด และ อกศจ. ซึ่งเกิดขึ้นตามคำสั่งฉบับที่ 10 ณ วันนี้ บุคลากรในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยเฉพาะในเขตพื้นที่รอบนอกอำเภอเมืองต่างจับกลุ่มคุยกันว่า “แล้วพวกเราจะทำอะไร” แม้นว่า ผอ.เขตรอบนอกทั้งหลายได้พยายามชี้แจงแล้ว แต่ความสงสัยดังกล่าวก็ยังคงอยู่

ADVERTISMENT

คำถามสุดฮิตที่ถามกันบ่อยๆคือ “เขาจะยุบเขตพื้นที่แล้วใช่ไหม แล้วพวกเราจะไปทำอะไร” “อำนาจหน้าที่หลายอย่างเขาโอนไปแล้วนะ” คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไม่อาจสร้างความมั่นใจแก่บุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาได้เลย

ประเด็นที่ 2 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ก่อให้เกิดความไม่ต่อเนื่อง (Discontinuity) ในการบริหารจัดการ คำสั่งฉบับที่ 10 ข้อ 6 กำหนดให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่ง เช่นผู้ว่าราชการจังหวัด ศึกษาธิการภาค ผู้แทน สพฐ. สอศ. สกอ. กคศ. สช. กศน. ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ประธานหอการค้าจังหวัด ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด ผู้แทนภาคประชาชน 2 คน ผู้แทนข้าราชการครู 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งจำนวน 3 คน และศึกษาธิการจังหวัดทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการ คณะกรรมการชุดดังกล่าวอยู่กันตามวาระ โดยเฉพาะประธานกรรมการและกรรมการโดยตำแหน่งมีการโยกย้ายหมุนเวียนกันบ่อยๆ หลายคนอยู่ในตำแหน่งเพื่อรอวันเกษียณอายุราชการ ความมุ่งมั่นใส่ใจที่จะศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูลและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะการปรับปรุงแผนพัฒนา แผนปฏิบัติการ โครงการทางการศึกษาจึงมีไม่มาก การที่กรรมการหลายคน โดยเฉพาะประธาน รองประธาน กรรมการโดยตำแหน่งหลายคน อาจมีการโยกย้ายและเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ การทำงานย่อมไม่ต่อเนื่อง งานพัฒนาคุณภาพการศึกษาต้องการความต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงกรรมการบ่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาและคุณภาพเยาวชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น กรรมการโดยตำแหน่งส่วนใหญ่มีงานประจำที่ได้รับมอบหมายมาจากกรม กระทรวงต้นสังกัดค่อนข้างล้นมือ ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะศึกษาเอกสารก่อนการประชุม เมื่อมีงานเร่งด่วนที่ได้รับคำสั่งจากต้นสังกัด กรรมการโดยตำแหน่งเหล่านั้นย่อมไม่มีเวลาเพียงพอมาเข้าร่วมประชุม การเข้าประชุมของกรรมการโดยตำแหน่งจะขาดความต่อเนื่อง ขาดข้อมูล หลักการและทฤษฎีประกอบการตัดสินใจ จึงทำให้การตัดสินใจของกรรมการนำไปสู่ความเสียหายแก่การบริหารและการจัดการศึกษาได้

ประเด็นที่ 3 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 เพิ่มขั้นตอนการตัดสินใจ (Hierarchies) คำสั่งฉบับที่ 11 ทำให้เกิดสำนักงานศึกษาธิการภาค และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด โดยไม่ได้ยุบเลิกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา การติดต่อราชการจากกระทรวงไปยังโรงเรียนต้องผ่านสำนักงานศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา การมีสำนักงานเพิ่มย่อมก่อให้เกิดขั้นตอนการบังคับบัญชา ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “organizational red-tape” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความล่าช้าในการปฏิบัติย่อมเกิดขึ้น ความเสียหายที่เกิดจากความล่าช้าในการสั่งการและการปฏิบัติการย่อมยากที่จะประเมินค่าได้

ประเด็นที่ 4 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 สกัดกั้นการพัฒนาทักษะใน ศว.ที่ 21 (21st Century Skills) ของครูและบุคลากรทางการศึกษา คำสั่งทั้งสองฉบับก่อให้เกิดการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจ (Centralization) ซึ่งทำลายความสามารถในการคิดวิเคราะห์เพราะต้องรอฟังคำสั่งจากส่วนกลาง นอกจากนั้น การบริหารแบบรวมศูนย์ยังสกัดกั้นความสามารถในการคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ การสร้างนวัตกรรม การทำงานเป็นทีม การสร้างภาวะผู้นำ การทำงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคคลหลากหลายวัฒนธรรม การติดต่อสื่อสารสมัยใหม่ และการเรียนรู้ด้วยตนเองและเพื่อนร่วมวิชาชีพ การที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกบริหารจัดการแบบ “Single Command” โดยต้องรอฟังคำสั่งจากส่วนกลาง ไม่อาจคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ย่อมทำลาย 21st Century Skills ของครู ซึ่งจะส่งผลให้ 21st Century Skills ของนักเรียนถูกปิดกั้นไปด้วย

ประเด็นที่ 5 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ทำลายประสิทธิภาพการบริหารจัดการ (Efficiency) คำสั่งทั้งสองฉบับนำไปสู่การเพิ่มสำนักงาน ต้องเพิ่มคน เพิ่มเงิน เพิ่มห้องทำงาน เพิ่มโต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ เครื่องทำความเย็นในสำนักงาน รถยนต์ โทรศัพท์ ฯลฯ นอกจากนั้น ต้องเพิ่มเวลาในการติดต่อสื่อสารระหว่าง Hierarchy หนึ่งไปยังอีก Hierarchy หนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น การคงให้มีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไว้ คงคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไว้ คงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและบุคลากรในสำนักงาน และตึกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไว้ และลดปริมาณงานที่รับผิดชอบลงไป ค่าใช้จ่ายในสำนักงานเขตพื้นที่ไม่ลดลง แต่ปริมาณงานลดลง เป็นการทำงานเพื่อก่อให้เกิดผลงานอย่างเดียวกันโดยใช้งบประมาณ ทรัพยากร และเวลามากกว่าถือเป็นการบริหารเงินภาษีประชาชนแทนประชาชนที่ด้อยประสิทธิภาพ เป็นการทุจริตต่อประชาชนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่ควรให้อภัย

ประเด็นที่ 6 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ทำลายบรรยากาศในองค์กร (Organizational Climate) วันนี้เกิดคำถามว่าถ้ากระผมหรือดิฉันมีเรื่องอยากจะเสนอแนะหรือร้องเรียน ร้องทุกข์ต่อผู้มีอำนาจกำหนดนโยบาย แผนงาน และโครงการทางการศึกษา กระผมหรือดิฉันจะเสนอได้อย่างไร กรรมการแต่ละคนล้วนมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นกรรมการชุดต่างๆ ในระดับจังหวัดมากมาย มีงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบมากมาย เป็นเจ้าเป็นนาย วางมาดกันทั้งนั้น กระผมหรือดิฉันจะเข้าพบได้อย่างไร จะมีเวลาพูดคุยกันแบบเป็นกันเองและเปิดเผยได้ไหม จะติดต่อกันได้อย่างไร คำสั่งทั้งสองฉบับก่อให้เกิดการสื่อสารแบบทางเดียว “one-way communication” จากบนลงล่าง

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในองค์กรวิชาชีพชั้นสูง โดยเฉพาะในวงการผู้ประกอบวิชาชีพครู บรรยากาศแบบข่มขู่และศัตรู (Intimidation climate) ย่อมเกิดขึ้นตามมา และย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการคืนความสุขให้ประชาชนตามที่ประธาน คสช.กล่าวอ้างในทุกเย็นวันศุกร์

ประเด็นที่ 7 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ทำลายขวัญ กำลังใจ และแรงจูงใจในการทำงานของครูและบุคลากรทางการศึกษา (Teacher Morale and Motivation) ในระยะเริ่มแรกที่มีการประกาศคำสั่งฉบับที่ 10, 11 ครูจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจ อกคศ.เขตพื้นที่ ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งต่างชื่นชมยินดีและเห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว มาถึงวันนี้ ครูและบุคลากรทางการศึกษามีการรวมตัวกันในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อคำสั่ง คสช. ได้มีการศึกษารายละเอียดของประกาศและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาต่อวิชาชีพ ได้ทราบองค์ประกอบของ กศจ.และ อกศจ.ใหม่

ครูและบุคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่เริ่มสงสัยแล้วว่าคนเหล่านี้เป็นใคร จะเป็นเจ้านายเราหนักกว่าเดิมไหม จะคุยกับเรารู้เรื่องไหม จะตอบสนองความต้องการการพัฒนาการเรียนการสอนของเราได้ไหม จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย หนี้สิน การเรียนต่อ วิทยฐานะ การย้าย การขึ้นเงินเดือนแก่เราอย่างเป็นธรรมไหม ความคาดหวังของกรรมการและความคาดหวังของเราเกี่ยวกับวิธีเรียน วิธีสอน วิธีบริหารจัดการชั้นเรียนจะตรงกับเราไหม KPI ที่จะนำมาประเมินเราจะเป็นอย่างไร

แม้นว่าสิ่งเหล่านี้จะยังไม่เกิด แต่สิ่งเหล่านี้ก็สร้างความกังวลใจให้แก่ครู ทำลายขวัญ กำลังใจ และแรงจูงใจในการทำงานของครู และจะกลายเป็นว่ารัฐบาลกำลังคืนความทุกข์ (แทนความสุข) ให้กับครูซึ่งก็เป็นประชาชนส่วนหนึ่งเช่นกัน

ประเด็นที่ 8 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ทำลายความเป็นวิชาชีพครูของครู (Teaching Profession) รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง แต่ระยะเวลาปีเศษๆ ที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการไม่เข้าใจและไม่ประสงค์ที่จะพัฒนาวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง ได้ให้สัมภาษณ์และแสดงความคิดเห็นในโอกาสต่างๆ ที่เป็นการเหยียดหยามและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาวิชาชีพครู เมื่อมีคำสั่งฉบับที่ 10, 11 คำสั่งทั้งสองฉบับให้ความสำคัญของการบริหาร

การศึกษาแบบ “Single Command” ซึ่งเป็นรูปแบบการบริหารจัดการที่เหมาะกับการบริหารจัดการทหารและตำรวจ แต่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง ผู้ประกอบวิชาชีพต้องทำงานกับนักเรียนที่มีความต้องการที่หลากหลาย ในบริบทของชุมชนที่แตกต่างทั้งในตัวผู้เรียน ผู้ปกครอง หลักสูตร กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลผู้เรียนที่นำมาใช้กับนักเรียนต้องแตกต่างกัน การบริหารแบบ Single Command ตามเจตนารมณ์ของคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 10, 11 ไม่สามารถนำมาใช้กับผู้ประกอบวิชาชีพครูซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้ คำสั่งทั้งสองฉบับได้ทำลายความเป็นอิสระในการตัดสินใจในการปฏิบัติต่อผู้เรียนบนพื้นฐานความเป็นมืออาชีพของครูไปหมดสิ้น ต้องรอการสั่งการจากผู้มีอำนาจที่ส่วนกลาง หรือจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดหรือศึกษาธิการภาค ซึ่งอาจมีความรู้ความเข้าใจในบริบทของห้องเรียนน้อยกว่าครู

ประเด็นที่ 9 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ทำลายหลักการสำคัญของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีที่สำคัญคือการให้ผู้มีผลประโยชน์ได้เสียโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติและผู้รับบริการจากผู้ปฏิบัติมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในทุกขั้นตอน (participation) การตัดสินใจแต่ละขั้นตอนต้องให้ทุกฝ่ายในหน่วยงานมีข้อมูลและรับรู้และสามารถเข้าไปตรวจสอบการตัดสินใจได้ เปิดให้มีการตรวจสอบกระบวนการ ขั้นตอน และข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการตัดสินได้ (transparent) ต้องมีการนำสิ่งที่กำหนดไว้ในแผนและนโยบายไปปฏิบัติ ไม่เพ้อฝันหลอกลวง (policy and plan implementation) ต้องทำให้เกิดผลงานที่คุ้มค่ากับทรัพยากรและเงินภาษีประชาชนที่ใช้ไป (cost-effectiveness) และผู้ปฏิบัติหรือผู้ใช้ทรัพยากรต้องรับผิดต่อความล้มเหลวและได้รับความชอบจากความสำเร็จ (accountable) แม้นว่าจะมีการปฏิบัติตามคำสั่ง การที่ไม่มีตัวแทนของผู้ปฏิบัติ เช่น ตัวแทนครู ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาในคณะกรรมการ อนุกรรมการชุดต่างๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้ผู้เขียนสงสัยว่าคณะกรรมการที่เกิดขึ้นภายใต้คำสั่งจะบริหารให้เกิด participation, transparency, policy and plan implementation, cost-effectiveness, accountability, and the rule of law ได้อย่างไร ทั้งองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ อนุกรรมการที่เกิดขึ้นภายใต้คำสั่งล้วนแต่ขัดหรือแย้งกับหลักการของ Good Governance ประสบการณ์ในอดีตที่ครูประถมศึกษาไปอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ.2509-2523 ได้ทำลายเกียรติ ศักดิ์ศรีของครู ทำลายความเป็นวิชาชีพของครูไปจนหมดสิ้น

แล้ววันนี้ หัวหน้า คสช.ยังมาออกคำสั่งเผด็จการสั่งให้ครูต้องเดินกลับสู่ประสบการณ์อันขมขื่นนั้นอีกหรือ

ประเด็นที่ 10 คำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 จะทำลายคุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทย นับแต่มีการประกาศใช้คำสั่งฉบับที่ 10, 11 ทั้งครูและผู้บริหารในสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษาต่างเอาเวลาที่มีอยู่มาศึกษาคำสั่งว่าจะส่งผลกระทบต่อตนเองอย่างไร จับกลุ่มเสวนาถึงผลดีผลเสียของคำสั่ง ขาดความสนใจและไม่มีเวลาที่จะไปใส่ใจว่าในปีการศึกษาหน้าที่จะถึงนี้ จะจัดทำโครงการเพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้กับนักเรียนอย่างไร ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการก็เอาเวลา เงินงบประมาณจากภาษีประชาชน และทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างใหม่วันแล้ววันเล่าให้กับผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาจำนวน 225 เขต ผู้บริหารโรงเรียนเฉพาะที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 30,000 คน บุคลากรในเขตพื้นที่การศึกษากว่า 4,000 คน จึงไม่มีงบประมาณและเวลาเพียงพอสำหรับโครงการ กิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คำสั่งทั้งสองฉบับจึงแย่งเวลาของครูไปจากนักเรียน และแย่งงบประมาณของนักเรียนไปเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำสั่ง จึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพผู้เรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่กล่าวมาในประเด็นนี้ ยังไม่ได้รวมผลกระทบต่อคุณภาพที่เกิดจาก Good Governance, Professionalism of Teachers, Teacher Morale and Motivation, Organizational Climate, Organizational Efficiency, Teachers? 21st Century Skills, Management Hierarchies, Work Discontinuity, and Role Conflict ซึ่งต่างล้วนมีอิทธิพลต่อคุณภาพนักเรียนทั้งนั้นเลยครับ

จากข้อเสียของคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10, 11 ที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเยาวชนมากอย่างนี้ ผู้เขียนจึงใคร่ขอวิงวอนให้หัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้โปรดพิจารณาชะลอการปฏิบัติตามหรือยกเลิกคำสั่งดังกล่าว แล้วตั้งผู้รู้และผู้มีความเชี่ยวชาญทางการศึกษามาศึกษาทบทวนดูว่าภายใต้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างนี้ จีดีพีของประเทศโตอย่างนี้ ปัญหาสังคม การเมือง ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน เทคโนโลยีของประเทศเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยของพวกเราควรจะทำอะไรก่อนหลังกับการจัดบริการทางการศึกษาจึงจะทำให้ประเทศแข่งขันกับประเทศชั้นนำของอาเซียนและของโลกได้

อย่าใช้แต่มือฝึกหัดเลยครับ ใช้มืออาชีพมาทำงานบ้างเถอะก่อนที่คุณภาพประชาชนและอนาคตของประเทศชาติจะเสียหายไปมากกว่านี้