น.ส.ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัล-คูนัน สาวชาวซาอุดีอาระเบีย อายุ 18 ปี หลบหนีการแต่งงานขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศเพื่อขอลี้ภัยที่ประเทศออสเตรเลีย โดยมาแวะพักที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย แต่ถูกควบคุมตัวเนื่องจากไม่มีหนังสือเดินทางและวีซ่าเข้าประเทศ กระทั่งเจ้าหน้าที่ไทยดำเนินการผลักดันส่งกลับ แต่หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกออกมาเคลื่อนไหวไม่ให้ไทยส่งกลับ เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบสิทธิเสรีภาพและอาจเป็นอันตรายร้ายแรง หากไทยส่ง น.ส.ราฮาฟกลับไป
ความเคลื่อนไหวของโลกต่อเรื่องดังกล่าวก่อตัวและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากการเคลื่อนไหวขององค์กรปกป้องสิทธิมนุษยชน กลายเป็นการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศ และการรายงานข่าวของสื่อไทย เรื่อยไปจนเป็นกระแสในโซเชียลที่ร่วมเรียกร้องและกดดันให้ทางการไทยเลือกวิธีปฏิบัติที่เป็นความปลอดภัยในชีวิตของ น.ส.ราฮาฟ น่าสนใจว่าในการกดดันมิให้ส่งตัวหญิงสาวคนดังกล่าวกลับประเทศ มีบุคคลระดับทูตแสดงความคิดเห็นด้วย แล้วในที่สุด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทย ยืนยันว่ายังไม่มีการส่งกลับ และกำลังรอส่งตัวไปยังประเทศที่สาม
กระแสที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่านานาอารยประเทศมองเห็นชีวิตมนุษย์สำคัญที่สุด การส่งเสริมให้มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพในการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่พึงมีเป็นพื้นฐาน การละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรปฏิบัติ แม้หลายประเทศจะยึดรัฐเหนือว่าชีวิตพลเมือง ความสงบสูงส่งกว่าเสรีภาพ แต่เมื่อใดที่พลเมืองประเทศนั้นอยู่ไม่ได้ และหลบหนีออกมา นานาชาติก็พึงจะรับไว้เพื่อให้เขาหรือเธอได้รับสิทธิเสรีภาพ และปลอดพ้นจากอันตรายจากระบบกฎเกณฑ์ที่พร้อมจะทำร้ายผู้เห็นต่าง
สำหรับประเทศไทยแม้ปัจจุบันจะอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทหาร แต่การตัดสินใจเกี่ยวกับกรณี น.ส.ราฮาฟก็น่าจะยืนอยู่บนหลักสากล กรณีการส่งตัวชาวต่างชาติกลับประเทศ ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตเช่นนี้ สมควรจะพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยยึดหลักสากลที่ถือว่าชีวิตและสิทธิเสรีภาพของคนมีความสำคัญ หากได้รับข้อมูลที่ยืนยันว่าการส่งตัวกลับประเทศอาจมีผลร้ายต่อชีวิตของ น.ส.ราฮาฟ ไทยก็ไม่ควรส่งกลับ ขณะเดียวกันก็ควรจะประสานหาประเทศที่ปลอดภัยให้กับเธอ อย่างน้อยก็ยืนยันว่าประเทศไทยยังยืนอยู่บนหลักสากลที่ให้ความสำคัญและพร้อมจะปกป้องชีวิตและสิทธิเสรีภาพของมนุษย์เหมือนกับที่นานาอารยประเทศเขาทำกัน
