รื่นร่มรมเยศ : กรรมของเทวดาซุกซน : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

รื่นร่มรมเยศ : กรรมของเทวดาซุกซน : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

รื่นร่มรมเยศ : กรรมของเทวดาซุกซน : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ในสมัยพุทธกาลมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเรื่องหนึ่ง คือมีพระรูปหนึ่ง เวลาท่านไปที่ไหนๆ จะมีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินตาม ตัวท่านมองไม่เห็น แต่คนอื่นมองเห็น ทำให้คนที่พบเห็นเข้าใจผิดว่าหญิงสาวคนนี้เป็นอะไรกับพระรูปนี้

พระรูปนี้เป็นพระที่เคร่งศีลเคร่งวินัย แต่ก็ถูกพระเณรอื่นๆ รังเกียจ เวลาท่านไปบิณฑบาต ญาติโยมบางคนก็จะใส่บาตรสองส่วนพลางพูดว่า ส่วนนี้ถวายท่าน อีกส่วนหนึ่งให้สีกาที่มากับท่าน บางคนพอเห็นหน้าท่านเดินผ่านมา ไม่ใส่บาตร ยืนเมินหน้าไปทางอื่น

“พระมากับสีกา ข้าไม่เลื่อมใส”

Advertisement

เขาบ่นพลางทำสีหน้ารังเกียจ

พระคุณเจ้ารูปนี้พยายามอธิบายกับทุกคนที่หาว่าท่านมีผู้หญิงเดินตามนั้น ตัวท่านไม่เห็นเลย ยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีผู้หญิงที่ไหนมาอยู่ใกล้ตนแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเห็นอยู่กับตา

บางรายต้องการจับให้ได้คาหนังคาเขา พอมองเห็นผู้หญิงปรากฏตัวข้างหลังพระรูปนี้ก็วิ่งเข้าไปจะจับตัว แต่พอเข้าไปใกล้ก็ไม่เห็นมีใคร ภาพที่เห็นก็หายวับไปกับตา ผู้หญิงที่เห็นนั้นคงไม่ใช่คนจริงๆ คงจะเป็นเทพหรือมารอะไรสักอย่างมาแกล้งพระ

Advertisement

เสียงเล่าลือว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับพระแว่วไปถึงพระกรรณของพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์เมืองสาวัตถี พระองค์จึงเสด็จไปเยี่ยมพระภิกษุรูปดังกล่าว พอเห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาแต่ไกลก็ลงมากุฏิไปต้อนรับพระราชา พระราชามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พระบนกุฏิ พอเสด็จขึ้นไปบนกุฏิก็ทรงสอดส่ายสายพระเนตรมองข้างโน้นทีข้างนี้ทีจนพระท่านสงสัย ถามว่าพระองค์ทรงมองหาอะไร

“หาผู้หญิงที่โยมเห็นเมื่อตะกี้นี้ บัดนี้เธอไปอยู่เสียที่ไหน”

“ขอถวายพระพร ไม่มีผู้หญิงที่ไหนอยู่กับอาตมาภาพดอก”

“โยมเห็นอยู่นี่นา พอขึ้นมากุฏิแล้วเธอหายไป” พระราชาทรงยืนยัน

“ขอถวายพระพร คนทั่วไปก็พูดอย่างนี้ แต่อาตมาไม่เคยเห็นสักที”

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงดำริว่า เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมอะไรสักอย่าง เห็นจะต้องกราบทูลถามพระศาสดา จึงตรัสขอร้องให้ท่านไม่ต้องออกบิณฑบาต เพราะกลัวจะเป็นที่เสื่อมเสียแก่พระศาสนา พระองค์จะทรงให้คนนำภัตตาหารมาถวายถึงกุฏิเลยทีเดียว

พระทั้งหลายก็คิดว่า พระเจ้าแผ่นดินคงจะไปจัดการกับพระรูปนี้ แต่พอรู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินนอกจากจะไม่เอาเรื่องเอาราวกับเธอแล้ว ยังถวายความอุปถัมภ์ด้วยอาหารบิณฑบาตเสียอีก จึงคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินเข้าข้างพระทุศีล รู้สึกไม่พอใจ จึงว่าเสียดสีเอาแรงๆ

พระคุณเจ้าผู้มีสตรีตามหลังแต่ก่อนก็สงบเสงี่ยมเจียมตัว ใครจะว่าอย่างไรก็สู้ทน แต่พอพระเจ้าแผ่นดินเข้าข้างเท่านั้น ก็มีทิฐิมานะตอกกลับพระเหล่านั้นด้วยคำพูดแรงๆ ไม่ลดราวาศอก เรื่องก็เลยถึงพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ตรัสเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายไปเฝ้า ตรัสกับพระคุณเจ้ารูปนี้ว่า ที่พระอื่นๆ ว่าเธอ ก็เพราะเขาเห็นผู้หญิงเดินตามหลังเธอ เขาก็นึกว่าเธอทุศีล แต่เธอไม่มีสิทธิไปด่าว่าพระอื่นๆ ทุศีลเพราะเธอมิได้เห็นความผิดปกติอะไรของคนอื่น เหมือนที่คนอื่นเห็นเธอ ที่ถูกเธอควรสงบปากสงบคำเสีย

พระรูปนั้นจึงได้แต่นั่งสงบต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธองค์

พระรูปอื่นๆ ทูลถามพระพุทธองค์ว่า พระรูปนี้ทุศีลหรือไม่ พระองค์ตรัสยืนยันว่า ภิกษุรูปนี้มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยแต่ประการใด พวกเธออย่าได้รังเกียจเลย ภาพผู้หญิงที่เห็นเดินตามหลังเธอไปทุกหนทุกแห่งนั้นเป็นกรรมเก่าที่เธอทำไว้แต่ปางก่อน ไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ

เมื่อพระทั้งหลายกราบทูลถามว่า ภิกษุรูปนี้ทำกรรมอะไรไว้ จึงมีเรื่องประหลาดอย่างนี้

พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า

นานมาแล้วมีพระสหายรักกันสองรูปในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ท่านสองรูปนี้ไปไหนไปด้วยกัน เทวดาตนหนึ่งเห็นทั้งสองสมัครสมานสามัคคีกันเหลือเกิน ด้วยความคิดซุกซนจึงแกล้งเล่น แต่ผลกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

คืนวันหนึ่ง ทั้งสองรูปเดินทางผ่านป่าแห่งหนึ่ง รูปหนึ่งบอกว่าจะไปทำสรีรกิจ (ถ่ายอุจจาระ) ขอให้รอก่อน ขณะที่รูปที่ไปถ่ายเดินกลับมา รูปที่รออยู่หันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างหลังเพื่อนของตน มือข้างหนึ่งสยายผมจัดให้เข้ารูป อีกข้างหนึ่งจัดผ้านุ่งให้เรียบร้อย

ทำดังหนึ่งว่าทั้งสองคนเพิ่งเสร็จกามกิจหยกๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ

พระสหายคนที่ยืนรออยู่เห็นดังนั้นก็ตาค้างแทบช็อกจึงพูดห้วนๆ ว่า

“คุณศีลขาดแล้ว อย่ามายุ่งกับผม ตั้งแต่นี้เราทั้งสองเลิกคบกัน” ว่าแล้วท่านก็รีบจ้ำหนีไป

ฝ่ายพระต้นกรณีไม่รู้เรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น จึงวิ่งตามไปถามว่าผมผิดอะไรหรือครับ อีกรูปตอบว่าก็คุณเพิ่งเสพเมถุนกับอิสตรีมาหยกๆ ยังมีหน้ามาถามว่าผิดอะไร คนหน้าด้านอย่างคุณนี่ก็เพิ่งเคยพบเคยเห็น

ท่านรูปนี้ก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำดังที่กล่าวหาเลย แต่ก็ไม่ได้ผลครับ เพราะอีกฝ่ายเห็นกับตา แก้ตัวยังไงก็ไม่ยอมเชื่อ ในที่สุดทั้งสองรูปก็แตกกัน

เทวดาซุกซนตนนั้นได้แปลงร่างเป็นสตรียืนอยู่หลังพระรูปที่เข้าไปถ่ายอุจจาระในป่า ทำให้พระทั้งสองรูปซึ่งรักกันมากต้องแตกคอกัน เธอได้ทำบาปทำกรรมอย่างหนัก พอจุติจากสวรรค์ก็ตกนรกหมกไหม้เป็นพระภิกษุรูปที่กล่าวถึงข้างต้นนี่แหละ ด้วยเศษกรรมยังเหลืออยู่ เวลาเดินไปไหนจึงปรากฏมีผู้หญิงเดินตามหลังดังกล่าวแล้ว

ท่านรูปนี้มีชื่อว่า “พระโกณฑธานะ” พอท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ภาพผู้หญิงนั้นก็หายไป

เรื่องนี้ให้คติว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ควรทำเป็นอันขาด โดยเฉพาะการยุแยงตะแคงรั่วให้คนแตกสามัคคีกัน บาปหนักหนาแล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image