ข้อกังขาจากสังคมเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เกิดขึ้นมาเป็นระลอกตามสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้อสงสัยที่ว่าเป็นต้นเหตุความแห้งแล้งของแม่น้ำโขงในช่วงหน้าแล้งเพราะกักเก็บน้ำไว้ หรือการก่อสร้างกีดขวางทางน้ำจนกระทบกับจำนวนปลาในแม่น้ำโขง แต่หลังจากทีมงาน “มติชนออนไลน์” มีโอกาสลงพื้นที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ในช่วงที่การก่อสร้างที่คืบหน้าไปแล้วกว่า 99.86% และเริ่มต้นเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเป็นที่เรียบร้อย โดยมีกำหนดเสร็จสมบูรณ์100% ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ จึงพอได้เห็นบรรยากาศและความพร้อมของการผลิตไฟฟ้า โดยมีเจ้าหน้าที่ วิศวกรด้านสิ่งแวดล้อม และผู้พัฒนาโครงการคอยอธิบายถึงแนวคิด การออกแบบ ตลอดจนการก่อสร้างจนเกิดเป็นโรงไฟฟ้าบนแม่น้ำโขงตอนล่างแห่งนี้อย่างละเอียด
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ที่ก่อสร้างข้ามลำน้ำโขงตอนล่างและอยู่ในพื้นที่ระหว่างแขวงไซยะบุรีและแขวงหลวงพระบาง ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) เป็น 1 ใน 11 โรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีศักยภาพสูงบนแม่น้ำโขงตอนล่าง เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ สปป.ลาว หมายมั่นว่าจะเป็นแหล่งสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างรายได้ให้กับรัฐบาลลาวในอนาคต พร้อมสร้างความอยู่ดีกินดีให้เกิดขึ้นกับประชาชนลาว ที่สำคัญที่แห่งนี้ก่อสร้างด้วยแนวคิด “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” โดยผู้พัฒนาโครงการเป็นบริษัทสัญชาติไทย “บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ CKP”
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี มีกำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด 7,600 ล้านหน่วยต่อปี โดย 95% จะขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ 5% ส่งให้กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EdL) เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2555 มีกำหนดเสร็จสมบูรณ์และจะเริ่มขายไฟเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในปลายเดือนตุลาคม 2562 นี้
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรีถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือการเป็นโรงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่ง “นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) บอกถึงวิสัยทัศน์ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมของ CKPower ว่า “โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เป็นโครงการที่ CKPower ตั้งใจอย่างมาก ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ระหว่างทางตลอดการก่อสร้าง เราเลือกใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน โดยเชื่อว่าไซยะบุรีจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำต้นแบบบนแม่น้ำโขงตอนล่างในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม วิถีชุมชน และสังคมรอบด้าน โดยใช้ธรรมชาติเป็นหลัก ด้วยการยึดถือตามแนวทางนี้ ทำให้การพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย ได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ จากทั่วโลก ได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลลาว เพื่อยืนยันว่าการออกแบบ ขั้นตอนการก่อสร้าง และการดูแลชุมชน เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) ทุกประการ และเป็นโครงการที่รัฐบาลลาวให้ความมั่นใจ เป็นต้นแบบของโรงไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงตอนล่างในอนาคต”
ด้วยแนวคิดในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่างพลังน้ำ บวกกับวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร CKPower ที่ต้องการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากเงินลงทุนทั้งหมดกว่า 135,000 ล้านบาท โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี มีส่วนที่ลงทุนเพิ่มเติมเพื่อศึกษาและพัฒนาการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้งบลงทุนเพิ่มกว่า 19,400 ล้านบาท โดยพัฒนาแบบการก่อสร้างตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านร่วมกันพิจารณาคัดเลือกเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่สำคัญ เช่น บานประตูระบายน้ำ กังหันน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หม้อแปลง ระบบส่งไฟฟ้า ตลอดจนระบบควบคุมและอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ เพื่อให้มั่นใจในด้านคุณภาพและความปลอดภัย ใน 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ ความปลอดภัย การระบายตะกอน และปลา
นายธนวัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “CKPower เป็นผู้พัฒนาโครงการด้วยมาตรฐานสูงสุด โดยมีบริษัท ช.การช่าง (ลาว) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และเนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำสากล การกำหนดมาตรฐาน Dam Safety ต้องสูงที่สุด สร้างความแข็งแรงให้โครงสร้างด้วยการเสริมเหล็กคุณภาพสูงเพื่อให้รับแรงแผ่นดินไหวได้สูงสุดในรอบกว่าหมื่นปี รวมทั้งรองรับค่าฝนหมื่นปี ส่วนการระบายตะกอนที่มากับแม่น้ำโขงนั้น โรงไฟฟ้าได้ได้สร้างประตูระบายน้ำและตะกอน (Spillway/Low Level Outlet) จำนวน 11 บาน โดย 7 บานเป็นบานประตูระบายน้ำล้นและตะกอนแขวนลอยที่พัดมากับสายน้ำ ขณะที่อีก 4 บาน ติดตั้งบานประตูเพื่อระบายตะกอนหนัก ลึกลงไปถึงระดับใต้ท้องน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าตะกอนหนักที่พัดมากับน้ำ สามารถผ่านไปได้อย่างสะดวก เสมือนว่าไม่มีสิ่งกีดขวาง
“อีกหนึ่งทรัพยากรของแม่น้ำโขงที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ให้ความสำคัญคือ ปลา ดังนั้น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี จึงศึกษา พฤติกรรมปลาแม่น้ำโขงแต่ละชนิดโดยผู้เชี่ยวชาญ แล้วเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาปรับใช้ให้เหมาะกับพฤติกรรมปลา จึงออกแบบทางปลาผ่านเพื่อให้ปลาอพยพขึ้นเหนือน้ำไปวางไข่ได้อย่างปลอดภัย
“CKPower มุ่งเป็นบริษัทผู้นำที่ลงทุนด้านพลังงานสะอาดและยั่งยืนของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทุกโรงไฟฟ้าของ CKPower ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืน ภายใต้ความก้าวหน้าทางวิศวกรรมศาสตร์ทุกแขนงและเทคโนโลยีพลังงานล้ำสมัย ไม่ว่าโรงไฟฟ้าเราจะไปอยู่ที่ไหน จะต้องไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและต้องกลมกลืนกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น” กรรมการผู้จัดการ CKPower กล่าว
ด้าน “นายอานุภาพ วงศ์ละคร” รองกรรมการผู้จัดการ งานเดินเครื่องและบำรุงรักษา บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด อธิบายถึงโครงสร้างหลักของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ว่า โครงสร้างหลักของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี มีจุดเด่นด้านสิ่งแวดล้อมในทุกจุด เริ่มจากช่องทางเดินเรือ หรือ Navigation Lock ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรือสินค้าและเรือท่องเที่ยวให้ยังคงสัญจรผ่านได้ทั้งขาขึ้นและขาล่อง ตามปกติเหมือนที่เคยเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ขนาดกว้าง 12 เมตร ยาวกว่า 700 เมตร สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ถึง 500 ตัน พร้อมกัน 2 ลำ
“แต่เดิมบริเวณที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าจะมีแก่งหิน ทำให้การเดินเรือทำได้ลำบากในหน้าแล้ง โดยเฉพาะเรือใหญ่ เรือขนส่งสินค้าจะติดแก่งไม่สามารถผ่านไปได้ แต่เมื่อมีการก่อสร้าง Navigation Lock ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ปัญหาการติดเกาะแก่งในหน้าแล้งของเรือขนาดใหญ่ก็หมดไป ปัจจุบันมีเรือขนส่งสินค้า และเรือท่องเที่ยวที่สัญจรผ่านเส้นทางนี้ทุกวัน โดยจำนวนเรือท่องเที่ยวและเรือขนส่งสินค้าที่ล่องมาจากหลวงพระบาง ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่าเดือนละ 40 ลำ”
ถัดมาเป็น ประตูระบายน้ำและระบายตะกอน หรือ Spillway / Low Level Outlet เป็นทางระบายน้ำล้น 11 บาน จะระบายน้ำได้สูงสุด 47,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที โดยหน้าที่หลักของประตูระบายน้ำล้น จะเปิดระบายน้ำในกรณีที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้ามากเกินความต้องการสำหรับผลิตไฟฟ้า คือมากเกิน 5,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที และบริหารจัดการน้ำกรณีที่มีน้ำมามากเกินความต้องการผลิตไฟฟ้า เท่ากับว่าประตูระบายน้ำจะช่วยรักษาสมดุลน้ำไหลเข้าให้เท่ากับน้ำไหลออกตามอัตราการไหลของธรรมชาติ โดยอัตราความแรงของน้ำที่ออกจาก Spillway จะไหลลงสู่แอ่งสลายพลังงาน (Stilling Basin) ที่สร้างจากคอนกรีต ลดพลังงานของน้ำก่อนไหลลงสู่ลำน้ำต่อไปโดยไม่กัดเซาะตลิ่งท้ายน้ำ พร้อมทั้งทำหน้าที่ระบายตะกอน 2 ชนิด คือตะกอนหนักและตะกอนแขวนลอย ที่ไหลมากับกระแสน้ำให้ลงสู่ท้ายน้ำเป็นอาหารปลาและปุ๋ยธรรมชาติต่อไป
สำหรับพื้นที่ของโรงไฟฟ้า หรือ Powerhouse ซึ่งมีกังหันน้ำ (Turbine) ขนาด 5 ใบพัด เส้นผ่านศูนย์กลาง 8.6 เมตร น้ำหนัก 400 กว่าตันติดตั้งไว้ด้านล่าง เหตุผลของการเลือกกังหันน้ำ 5 ใบพัด ความเร็วของรอบหมุนช้า รวมทั้งการเรียง Turbine ให้กระจายตามความกว้างของแม่น้ำ เป็นส่วนหนึ่งของคอนเซ็ปต์ fish friendly ที่เป็นมิตรกับปลาในแม่น้ำโขง เปิดโอกาสให้ปลามีทางเข้า-ออกทั้งโครงสร้างและมีอัตรารอดชีวิตสูง
ส่วนสุดท้ายคือ ระบบทางปลาผ่าน ที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี ออกแบบตามวงจรชีวิตของปลาที่จะว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ เมื่อเกิดเป็นไข่ปลาหรือตัวอ่อนของปลาก็จะไหลลงมาตามน้ำลงมายังท้ายน้ำ เพื่อหาอาหาร เติบใหญ่และว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อวางไข่และผสมพันธุ์อีกครั้ง ระบบทางปลาผ่านแบบผสม หรือ Multi-System Fish Passing Facilities ประกอบด้วยส่วนที่เรียกว่า ทางปลาผ่านหลัก หรือ Fish Ladder ความยาวประมาณ 500 เมตร ที่ยื่นออกมาด้านท้ายน้ำ และ Fish Lock ช่องยกระดับปลาเป็นส่วนที่ติดกับโรงไฟฟ้า เชื่อมต่อกับคลองส่งน้ำด้านเหนือโรงไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เป็นผลงานที่สะท้อนความสำเร็จของการนำเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้ากับการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนทางพลังงานอันเป็นที่ภาคภูมิใจของ CKPower ผู้พัฒนาโครงการ เป็นการจุดประกายการสร้างสมดุลด้านพลังงานพร้อมการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยโรงไฟฟ้าชูจุดเด่นทางด้านวิศวกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถรักษาคุณภาพน้ำ การระบายตะกอนจากเหนือน้ำลงสู่ท้ายน้ำโดยไม่กระทบกับวิถีชีวิตคนริมฝั่งโขง นับว่าเป็นต้นแบบด้านวิศวกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในครั้งหน้า “มติชนออนไลน์” จะเล่าถึงหลักการโรงไฟฟ้าแบบฝายน้ำล้น หรือ Run-of-River ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี …