ประตูดราม่าท้ายเกม เสน่ห์ประจำศึก’ยูโร2016′

ยูโร 2016 ในรอบแบ่งกลุ่ม ถือว่ายิงประตูกันน้อยเมื่อเทียบกับทัวร์นาเมนต์อื่นๆ ค่าเฉลี่ย 1.96 ประตูต่อแมตช์ น้อยกว่าฟุตบอลโลกทุกครั้งที่ผ่านมา และน้อยที่สุดในยูโร ตั้งแต่ปี 1980 แต่มีสิ่งที่ทดแทนการขาดแคลนการทำประตูได้ นั่นคือ การยิงประตูดราม่าช่วงท้ายเกม

จากการเก็บสถิติในสองแมตช์แรกของทุกกลุ่ม มีการยิงประตูในช่วงนาทีที่ 85 ขึ้นไปถึง 27.7 เปอร์เซ็นต์ ทุบสถิติ 21.9 เปอร์เซ็นต์ในยูโร 2008 ลงอย่างราบคาบ สาเหตุของการยิงประตูในช่วงท้ายเกมเกิดจากการเน้นเกมรับของทีมเล็กๆ และแนวทางการเล่นสวนกลับของทีมยักษ์ใหญ่หลายทีม การที่กองหน้าถูกเปลี่ยนตัวลงมาในท้ายเกมและมีความสด ความฟิต แรงจูงใจในการยิงประตู รวมทั้งประสบการณ์ของกองหลังหลายทีมที่น้อยเกินไปในทัวร์นาเมนต์ระดับนี้

สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ซัดประตูชัยท้ายเกมในแมตช์กับที่อ่อนกว่าได้ ขณะที่หลายทีมเล่นเกมสวนกลับและเล่นเพื่อยิงประตูตีเสมอก็ยิงประตูได้ในหลายเกมเช่นกัน และประตูท้ายเกมส่วนใหญ่มาจากตัวสำรอง อ็องตวน กรีซมันน์, ดาเนียล สเตอร์ริดจ์, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, ไนอัลล์ แม็คกิน ลงมาทำประตูชัยหรือไม่ก็ประตูปิดกล่องให้ทีมได้ จุดนี้แสดงให้เห็นว่า ฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม ทุกคนต้องเข้าใจปรัชญาการทำทีมของกุนซือ ไม่ใช่ว่านักเตะที่ดีที่สุดจะได้ลงเล่นเป็น 11 คนแรก

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังเป็นคนสำคัญของทีมอยู่ดี สถิติการทำประตูของตัวสำรอง 23.4 เปอร์เซ็นต์ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญตัวสำรองในยูโร 2016 ยิงประตูสำคัญได้มากกว่าสถิติสูงสุดที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ในยูโร 1996 ที่ 17.2 เปอร์เซ็นต์เสียด้วย

Advertisement

ต้องติดตามกันต่อไปว่าประตูท้ายเกมจะสร้างความหรรษาให้แฟนบอลกันขนาดไหน ยิ่งในรอบลึกๆ หรือรอบชิงชนะเลิศ การมีซุปเปอร์ซับลงมาเป็นฮีโร่ให้ทีมคว้าแชมป์เป็นสิ่งที่ยูโรห่างหายมานาน โอลิเวอร์ เบียโฮฟฟ์ ถูกเปลี่ยนตัวลงมายิงประตูชัยใส่เช็กในช่วงโกลเด้นโกลในยูโร 1996 ซิลแว็ง วิลตอร์ ลุกจากม้านั่งสำรองยิงประตูตีเสมออิตาลี 1-1 ในช่วงทดเจ็บครึ่งหลัง ยูโร 2000

ก่อนที่ ดาวิด เทรเซเก้ต์ จะกดประตูชัยให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ไปครอง หวังว่าจะได้เห็นบรรยากาศ 16 ปีแห่งความหลังแบบนั้นในยูโรฉบับฝรั่งเศสอีกสักครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image