ทีมสิงโตคำรามผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในยูโรเวอร์ชั่น 24 ทีมแบบไม่ต้องลุ้นเหนื่อยเท่าไรนัก แถมยังไม่แพ้ใครใน 3 นัดของรอบแบ่งกลุ่ม แต่ทว่า อังกฤษ มีสถิติในรอบน็อกเอาต์ของยูโรที่เหมือนคำสาป และยังไม่สามารถลบล้างไปได้เสียที
อังกฤษไม่เคยชนะใครในการแข่งขันในเวลา 90 หรือ 120 นาทีในประวัติศาสตร์ของยูโรได้เลย
ยูโร 1996 ที่บ้านตัวเอง อังกฤษผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือรอบสอง ซึ่งเทียบเท่ากับรอบ 16 ทีมของยูโร 2016 เพราะครั้งนั้นมีเพียง 16 ทีมในรอบแบ่งกลุ่ม และสามารถเอาชนะจุดโทษ สเปน 4-2 หลังเสมอในเวลา 120 นาที 0-0 แต่ก็ไปแพ้จุดโทษ เยอรมนี ในรอบรองชนะเลิศ 5-6 (เสมอในเวลา 120 นาที 1-1) เป็นยูโรแห่งจุดเริ่มต้นของคำสาปที่ว่านี้
ถัดมาในยูโร 2000 และ 2004 ตกรอบแรกทั้งคู่ ยิ่งไปกว่านั้นยูโร 2008 พวกเขาไม่ผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาเล่นด้วยซ้ำ ฝันร้ายในรอบน็อกเอาต์ยังคงตามหลอกหลอนแข้งเมืองผู้ดีไม่เลิก ยูโร 2012 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย สิงโตคำรามกับ อิตาลี กินกันไม่ลง เสมอใน 120 นาที 0-0 และแพ้จุดโทษอัซซูรี่ไปอีก 2-4 ยืดสถิติการเอาชนะทีมอื่นใน 120 ของรอบน็อกเอาต์ต่อไป อีก 4 ปี
การเจอกับ ไอซ์แลนด์ ในรอบ 16 ทีมของยูโร 2016 เป็นโอกาสดีที่จะลบคำสาปที่ว่านี้เสียที เพราะผู้คร่ำหวอดในวงการฟุตบอลหลายคนมองว่าอังกฤษมีทั้งความเก๋าประสบการณ์และนักเตะที่ดีกว่า การเจอกันในประวัติศาสตร์ของสองทีมนี้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว คือ ทัวร์นาเมนต์ 3 เส้า
อุ่นเครื่องก่อนยูโร 2004 และวันนั้นอังกฤษถล่มไอซ์แลนด์ยับเยิน 6-1 เวย์น รูนี่ย์ กัปตันทีมในครั้งนี้ ยังเป็นดาวรุ่งวัย 18 ปีในวันนั้น และยิงไอซ์แลนด์ได้ถึง 2 ประตู
อย่าลืมว่าไอซ์แลนด์ไม่แพ้ใครเลยใน 3 นัดของรอบแรก ยิงประตูได้ทุกนัด และเกมแทบจะจบด้วยผลเสมอทั้ง 3 แมตช์ ถ้า อาร์นอร์ เทราสตาสัน ไม่ยิงประตูชัยใส่ ออสเตรีย ในช่วงทดเจ็บ
ถ้าไอซ์แลนด์ยังรักษาความหนึบ ยันเสมอได้ใน 120 นาทีอีกครั้ง นักเตะสิงโตอาจจะคำรามไม่ออกต่ออีก 4 ปีก็ได้
