ทำไมยูโรไม่มี ‘แมตช์ชิงที่ 3’ ?

ฟุตบอลยูโรเป็นทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปเดียวที่ไม่มีการเตะแมตช์ชิงอันดับ 3 และทีมที่แพ้ในรอบรองชนะเลิศจะเก็บของกลับบ้านได้เร็วกว่าทัวร์นาเมนต์ไหนๆ

ยูโรมีการเตะชิงอันดับ 3 ระหว่างปี 1960-1980 เพระช่วงนั้นมีเพียง 4 ทีมในรอบสุดท้าย และเริ่มเตะกันในรอบรองชนะเลิศ ทีมที่แพ้จะต้องไปชิงที่ 3 และหลังจากปี 1980 ก็ถูกยกเลิกไป

สำหรับเหตุผลที่ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป ยกเลิกแมตช์ชิงที่ 3 เพราะยอดคนดูไม่เยอะ ที่สำคัญในปียูโร 1984 ที่ไม่มีชิงที่ 3 เป็นครั้งแรก มีการเพิ่มจาก 4 ทีมในรอบสุดท้ายเป็น 8 ทีม และต้องแบ่งกลุ่มแข่งขัน ทำให้มีแมตช์แข่งขันทั้งสิ้น 15 นัดไม่นับรวมรอบชิงอันดับ 3 ซึ่งถือว่ามากพอแล้ว ทำให้แมตช์ผู้แพ้ที่แข็งแกร่งกว่าหายไปจากประวัติศาสตร์ยูโร

ยิ่งในยูโร 1996 มีการเพิ่มทีมในรอบสุดท้ายเป็น 16 ทีม และยูโรหนนี้ขยับเป็น 24 ชาติ ยิ่งทำให้มีแมตช์ให้คนดูได้ติดตามกันมากขึ้นเป็นเท่าตัว การขาดหายไปของการชิงที่ 3 ก็ไม่ได้ทำให้ความสนุกของทัวร์นาเมนต์นี้ลดลงไปแต่อย่างใด

Advertisement

มีการแสดงความเห็นในเชิงที่ว่า เป็นเรื่องถูกแล้วที่ไม่ต้องมาเตะแย่งอันดับ 3 กันอีก เพราะทีมที่แพ้ในรอบรองชนะเลิศ เจ็บปวดมากพอแล้ว การมาเตะแมตช์ที่ไม่มีผลอะไรเลย ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนุกเท่าไร อย่างไรก็ตามทัวร์นาเมนต์อย่าง ฟุตบอลโลก, โคปา อเมริกา, แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชั่นส์, เอเชี่ยนคัพ, คอนคาเคฟ โกลด์คัพ ต่างมีการชิงที่ 3 กันถ้วนหน้า ซึ่งถ้ามองอีกมุมหนึ่ง แมตช์ชิงที่ 3 อาจจะเป็นการเดิมพันเงินรางวัลที่แตกต่างกันระหว่างอันดับ 3 และ 4

ฟุตบอลโลก 2018 ที่จะจัดขึ้นที่รัสเซีย ทีมอันดับ 3 จะได้รับเงินรางวัล 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ(1,020 ล้านบาท) อันดับ 4 ได้รับ 25 ล้านดอลล่าร์(850 ล้านบาท) ถือว่าต่างกันเกือบ 200 ล้านบาทเลยทีเดียว

ที่สำคัญไปกว่านั้น แมตช์เดียวก็อาจจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าดาวซัลโวได้เช่นกัน ดาวอร์ ซูเคอร์ ยิงประตูชัยให้ โครเอเชีย ชนะ เนเธอร์แลนด์ 2-1 และเป็นประตูที่ 6 ของตัวเองในทัวร์นาเมนต์ เหนือกว่า กาเบรียล บาติสตูต้า จาก อาร์เจนตินา และ คริสเตียน วิเอรี่ ของ อิตาลี ที่ยิงเท่ากันที่ 5 ประตู

ถ้าไม่มีแมตช์ชิงที่ 3 ซูเคอร์ก็อาจจะไม่ถูกจารึกชื่อในเวทีฟุตบอลโลกขนาดนี้ก็ได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image