ฝรั่งเศส โชว์ฟอร์มสมกับเป็นเจ้าภาพและเต็งหนึ่งในยูโร 2016 เอาชนะ เยอรมนี และทะลุไปลุ้นแชมป์ยูโรสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์
คนที่ต้องให้เครดิตอย่างมากในการเข้าชิงครั้งนี้ คือ ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องป์ กุนซือวัย 47 ปี ที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศได้ทั้งในการเป็นนักเตะและผู้จัดการทีม
เดส์ช็องป์เข้ามาคุมทีมชาติเมื่อปี 2012 หลังจากประสบความสำเร็จกับ โอลิมปิก มาร์เซย คว้าแชมป์ลีกเอิง 1 สมัย และบอลถ้วยในประเทศ 3 สมัยติด ตอนนั้นเขาเซ็นสัญญาคุมทีม 2 ปี เพื่อพาทีมลุยฟุตบอลโลก 2014
ผลงานในช่วงแรกกับฝรั่งเศสไม่ดีนัก เพราะแพ้ สเปน 0-1 คาบ้าน และไปยันเสมอที่แดนกระทิงดุ 1-1 ในรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2014 ก่อนจะไม่สามารถยิงประตูได้ 4 นัดติดในแมตช์อุ่นเครื่อง 3 นัดและเสมอทีมอย่าง จอร์เจีย 0-0 จนฝรั่งเศสจบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ต้องไปเพลย์ออฟกับ ยูเครน
นัดแรกที่ทีมของเดส์ช็องป์ออกไปเยือนพ่ายกลับมา 0-2 และโอกาสไปฟุตบอลโลกถือว่าริบหรี่ แต่เขาใช้กึ๋นและประสบการณ์พาทีมถลุงยูเครน 3-0 ในสต๊าด เดอ ฟร้องซ์ เข้าไปเล่นฟุตบอลโลกได้สำเร็จ แต่กลับตกรอบ 8 ทีมด้วยการแพ้เยอรมนี 0-1
อย่างไรก็ตาม เดส์ช็องป์ก็ได้รับการขยายสัญญาออกไปอีก 2 ปี เพื่อพาทีมมาลุ้นแชมป์ยูโร 2016 ในบ้าน และสามารถนำทีมถอนแค้นอินทรีเหล็กในรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ 2-0 และไปรอชิงถ้วยออง รี เดอโลเน่ย์ กับ โปรตุเกส ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ก่อนหน้านี้ แบร์ตี้ โฟ๊กส์ เคยได้แชมป์ยูโร 1972 กับเยอรมนีตะวันตกในฐานะนักเตะ และแชมป์ยูโร 1996 ในฐานะผู้จัดการทีมมาแล้ว
เดส์ช็องป์จะเดินตามรอยได้หรือไม่ อีกไม่กี่อึดใจจะได้รู้คำตอบ