เหยี่ยวถลาลม : คนละสายพันธุ์
“ลองไปดูซิใครรวยเมื่อปี 2530 จากโครงการโทรคมนาคม” น้ำเสียงฟึดฟัดที่เล็ดลอดออกมาจากตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาลในวันนั้นบอกถึงอาการทางร่างกายและจิตใจที่เจ็บช้ำ
คนที่รวยเมื่อปี 2530 ด้วยโครงการโทรคมนาคมไม่ใช่คนเดียวแน่นอน มีหลายคน มีหลายค่าย แต่ที่ “น้ำเสียง”นั้นมุ่งหมาย ต้องไม่พ้น “ทักษิณ ชินวัตร”
แต่อย่าลืมว่า “คนรวย” ที่ไม่ใช่รวยด้วยมรดกตกทอดหรือขายที่ดินพ่อแม่นั้นต้องไม่ใช่คนที่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วรวย
คนที่รวยด้วยมือตีนตัวเองจะต้องมี 2 ด้านประกอบกันคือ
หนึ่งด้านที่เป็น “สติปัญญา” ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ มีแนวความคิด มีระบบแบบแผน มีวิธีการ กับอีกด้านหนึ่ง คือ “จิตใจ” ซึ่งจะต้องมีความกล้าหาญ มีความเป็นนักสู้ กล้าเสี่ยง มีความอดทน ขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นแรงกล้า รวมทั้ง “มีความฝัน”
ต้องมีทั้ง “ปัญญา” และ “ความกล้าหาญ” จึงจะทำสำเร็จ!
ยุค 1987-1997 หรือ พ.ศ.2530-2540นั้นกิจการโทรคมนาคมไทยเพิ่งเริ่มต้น ผู้ที่คิดฝันกับลงมือทำก่อนย่อมจะคว้าโอกาสทางธุรกิจ
ในทศวรรษนั้น “ทักษิณ” เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค เป็นคนที่มีแนวคิดและบุคลิกที่แปลกออกไป ห้าวหาญ เปิดเผย ปราดเปรียว รวดเร็วฉับไวทั้งฝีปากและการเคลื่อนไหวจนเป็นที่ครั่นคร้ามของรุ่นเก่าหัวโบราณหลายคน
ก่อนจะกระโจนสู่ถนนการเมือง “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอยู่ก่อนแล้วในฐานะเจ้าของธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท
“ทักษิณ” นำเอาความรู้ ประสบการณ์ความสันทัดจัดเจนจากการบริหารธุรกิจไปใช้กับการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยเปรียบเปรยว่า ความยากจนก็เหมือนบริษัทที่ขาดทุน ครอบครัวคนจนจึงเหมือนบริษัทที่ต้องฟื้นฟูด้วยการลดค่าใช้จ่ายกับการหาแหล่งรายได้ใหม่ ซึ่งรัฐจะต้องค่อยๆ สร้างความเข้มแข็งให้กับคนไทยระดับรากหญ้า ต้องทำให้ชนบทร่ำรวย
“ทักษิณ” กลายเป็นนักการเมืองหัวใหม่ที่ใช้ “นโยบาย” นำ “โวหาร”
ทุกอย่างจับต้องได้และทำสำเร็จจริง
เป็นอิจฉาตาร้อนของนักการเมืองที่สิ้นปัญญา!
ในสังคมที่ล้าหลังยังนิยมยกย่อง “คน” กับ “ปืน” ปัญญากับเสรีภาพทางความคิดเป็น “สิ่งต้องห้าม”
อย่าเอาทักษิณไปเทียบนักรัฐประหารให้เสียเวลาเลย เพราะต่างบริบทเหมือนอยู่กันคนละโลก !?!!!!